‘เศรษฐกิจโลก’ จะยิ่งปั่นป่วน เมื่อ ‘2 วิกฤติ’ อาจมาบรรจบกัน

‘เศรษฐกิจโลก’ จะยิ่งปั่นป่วน เมื่อ ‘2 วิกฤติ’ อาจมาบรรจบกัน

‘วิกฤติการเงินโลก’ ในเวลานี้ยังเป็นเรื่องที่ ‘ไม่ควรประมาท’ เมื่อนักลงทุนหลายคนออกมาเตือนว่า สถานการณ์ที่เกิดขึ้นในเวลานี้ ยังเป็นเพียงแค่ช่วงเริ่มต้น พร้อมประเมินว่าวิกฤติลูกใหญ่อาจจะมาเยือนในไม่ช้า

แม้ว่าความกังวลที่มีต่อ ‘วิกฤติการเงินโลก’ ดูจะเบาลงไปบ้างหลังจากที่สร้างความปั่นป่วนในตลาดการลงทุนทั่วโลกมาเกือบๆ 2 สัปดาห์ ซึ่งวิกฤติที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ยังประเมินความรุนแรงไว้ค่อนข้างต่ำ มองว่าไม่น่าจะนำไปสู่วิกฤติการเงินที่ร้ายแรงอะไร แต่เราอยากเตือนว่า สถานการณ์ในเวลานี้ยังเป็นเรื่องที่ ‘ไม่ควรประมาท’ เพราะหลายๆ เงื่อนไขของสถานการณ์ มีแนวโน้มว่าจะพัฒนาไปในทางที่เลวร้ายลงได้

ล่าสุด เราเริ่มเห็นนักลงทุนชื่อดังหลายคนออกมาเตือนบ้างแล้วว่า สถานการณ์ที่เกิดขึ้นในเวลานี้ ยังเป็นเพียงแค่ช่วงเริ่มต้น พร้อมประเมินว่าวิกฤติลูกใหญ่อาจจะมาเยือนในไม่ช้า โดย ‘เรย์ ดาลิโอ’ ผู้ก่อตั้งกองทุนเฮดจ์ฟันด์ Bridgewater Associates ได้เรียกร้องให้หน่วยงานกำกับดูแลเร่งศึกษาการล่มสลายของธนาคารซิลิคอน วัลเลย์(SVB) และประเมินผลกระทบที่อาจจะเกิดเป็นวงกว้างให้มากขึ้น เพราะเขาเชื่อว่าเหตุการณ์นี้อาจเป็นเพียงแต่จุดเริ่มต้นก่อน ‘วิกฤติใหญ่’ จะมาเยือน

อย่างไรก็ตาม การที่เสียงส่วนใหญ่ของตลาดเชื่อว่าวิกฤติแบงก์ล้มในครั้งนี้จะไม่ลาม ทำให้ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มีแนวโน้มว่าจะยังขึ้นดอกเบี้ยต่อเพื่อคุมเงินเฟ้อที่ทรงตัวในระดับสูงให้อยู่หมัด และอัตราดอกเบี้ยสูงสุดของ เฟด ในรอบนี้มีโอกาสขึ้นไปยืนเหนือระดับ 5%

พูดง่ายๆ คือ อาจเห็นเฟดขึ้นดอกเบี้ยอีกอย่างน้อย 2-3 ครั้ง จากอัตราดอกเบี้ยปัจจุบันที่ 4.5-4.75% ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้น สิ่งที่เราต้องจับตา คือ เหล่า Junk Bond หรือบอนด์ที่มีเครดิตเรทติ้งต่ำกว่าระดับที่ลงทุนได้ เพราะอาจจะกลายเป็นระเบิดเวลาลูกใหม่ลามเป็นโดมิโนอีกลูกได้เช่นกัน

ตอนนี้เริ่มมีนักวิเคราะห์ออกมาเตือนให้จับตาดูเรื่องนี้ให้ดี เพราะทันทีที่ Bond เหล่านี้ครบกำหนดไถ่ถอน จะต้องเผชิญกับอัตราดอกเบี้ยใหม่ที่สูงขึ้นหลายเปอร์เซนต์ ถ้านักลงทุนไม่เชื่อมั่นว่าอนาคตผู้ออก Bond มีศักยภาพเพียงพอในการจ่ายดอกเบี้ยที่สูงขึ้นหรือหาเงินมาคืนได้ ก็ย่อมต้องไม่ยอมให้ Roll Over บอนด์เหล่านี้ออกไปแน่นอน ถึงตอนนั้นเราอาจจะเห็นวิกฤติการเบี้ยวหนี้ล็อตใหญ่เกิดขึ้นได้ ซึ่งระดับความรุนแรงคงต้องขึ้นกับว่าหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องจะคุมอยู่หรือไม่

อย่างไรก็ตามสถานการณ์ที่เล่ามาในข้างต้นนี้ ยังเป็นเพียงการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์เพียงกลุ่มหนึ่งเท่านั้นที่พยายามออกมาเตือนให้ผู้ลงทุนระมัดระวัง ไม่ควรประมาทกับเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้น เพราะถ้าเหตุการณ์ที่ว่านี้เกิดขึ้นจริง อาจลามจนกลายเป็นวิกฤติการเบี้ยวหนี้ได้ ถึงตอนนั้นเราอาจเห็น ‘2 วิกฤติ’ มาบรรจบกันกลายเป็น ‘มหาวิกฤติ’ ได้

...ขอย้ำว่าที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ ไม่ได้ต้องการให้ตื่นตระหนก แต่อยากให้ตื่นตัวเพื่อจะได้เตรียมความพร้อมรับมือกับสิ่งที่เราอาจไม่ได้คิดว่าจะเกิดขึ้น!