เปิดพอร์ต 5 เศรษฐีหุ้น รวยระดับพันล้าน สู้ชีวิตแม้ไม่จบปริญญา

เปิดพอร์ต 5 เศรษฐีหุ้น รวยระดับพันล้าน  สู้ชีวิตแม้ไม่จบปริญญา

5 นักธุรกิจที่เรียนจบไม่สูง แต่ตอนนี้กลายเป็นเศรษฐีระดับพันล้าน มีความตั้งมั่น มุมานะ สู้ไม่ถอย พาชีวิตตนเองประสบความสำเร็จ โดยไม่ต้องพึงใบปริญญา รวยสุด ตัน ภาสกรนที เจ้าของ อิชิตัน มูลค่าพอร์ตหุ้นปัจจุบัน 4,471.93 ล้านบาท

ในบรรดาเศรษฐีหุ้นระดับร้อยล้าน พันล้าน หรือหมื่นล้านของเมืองไทย ส่วนใหญ่มักจะจบการศึกษาในระดับปริญญาตรีขึ้นไป แต่ทว่ายังมีเศรษฐีหุ้นอีกบางส่วนที่มาจากศูนย์ หรือติดลบ เรียนแค่การศึกษาขั้นพื้นฐาน แต่ ตั้งมั่น มุมานะ สู้ไม่ถอย พาชีวิตตนเองประสบความสำเร็จ โดยไม่ต้องพึงใบปริญญา 

 

“กรุงเทพธุรกิจ” รวบรวม 5 นักธุรกิจที่เรียนจบไม่สูง แต่ตอนนี้กลายเป็นเศรษฐีระดับพันล้าน 

(ข้อมูลตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ณ วันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2566)

 

  1. ตัน ภาสกรนที อายุ 63 ปี มูลค่าพอร์ตหุ้นปัจจุบัน 4,471.93 ล้านบาท

“ตัน ภาสกรนที” จบการศึกษาชั้นมัธยมปีที่ 3 ครอบครัวเป็นชาวไทยเชื้อสายจีนที่มีฐานะปานกลาง โดยบิดาอพยพมาจากสาธารณรัฐประชาชนจีน และตั้งรากฐานที่จังหวัดชลบุรี “ตัน” เริ่มทำงานแรกเป็นพนักงานแบกของ ซึ่งมีค่าแรง 7 บาท และหันมาเป็นเจ้าของแผงหนังสือที่ชลบุรี และเริ่มต้นขยายกิจการไปซื้อห้องแถว จนกลายเป็นเจ้าของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์

เป็นผู้ก่อตั้งบริษัท โออิชิ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ต่อมาได้ขายหุ้นให้กับบริษัท ไทยเบฟเวอร์เรจ จำกัด (มหาชน)  และลาออกจากตำแหน่งกรรมการผู้จัดการ บมจ.โออิชิกรุ๊ป แล้วไปก่อตั้งบริษัท ไม่ตัน จำกัด ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็นอิชิตัน กรุ๊ป  

จากความมุมานะบริหารกิจการจนประสบความสำเร็จ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี มอบปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ (สาขาการตลาด) และมหาวิทยาลัยรามคำแหง มอบปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ (สาขาวิชาคหกรรมศาสตร์)

ปัจุบัน “ตัน” ปรากฎรายชื่อเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ 1 หลักทรัพย์

  • บริษัท อิชิตัน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ ICHI ถือหุ้นใหญ่อันดับ 1 จำนวน 360,639,600 หุ้น หรือ 27.74% (ข้อมูลผู้ถือหุ้น ณ วันที่ 6 พ.ค.2565) ราคาปิด ณ วันที่ 23 ก.พ.2566 ที่ 12.40 บาท รวมมูลค่า 4,471.93 ล้านบาท

และพบ บุคคลในครอบครัวถือหุ้น ICHI 

  • ด.ญ. ใกล้นที ภาสกรนที ถือหุ้นใหญ่อันดับ 2 จำนวน 60,000,000 หุ้น หรือ 4.62%
  • นาย ภาสกร ภาสกรนที ถือหุ้นใหญ่อันดับ 3 จำนวน 60,000,000 หุ้น หรือ 4.62%
  • นาง อิง ภาสกรนทีถือหุ้นใหญ่อันดับ 4 จำนวน 60,000,000 หุ้น หรือ 4.62%

 เศรษฐีหุ้น

 

 

  1. มานิต อุดมคุณธรรม อายุ 74 ปี มูลค่าพอร์ตหุ้นปัจจุบัน 4,034.83 ล้านบาท 

“มานิต อุดมคุณธรรม” จบมัธยมศึกษาตอนปลาย และได้เข้าอบรมหลักสูตร Director Accreditation Program (DAP) รุ่น 29/2547 จากสมาคมส่งเสริมสถาบันกรรมการ บริษัทไทย (IOD) อดีตเคยเป็นเจ้าของห้างสรรพสินค้าโรบินสัน ซึ่งถือเป็นห้างสรรพสินค้าแห่งแรกของไทยเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ในปี 2535 หลังประสบวิกฤตต้มยำกุ้งได้ขายกิจการโรบินสันให้เซ็นทรัลเข้ามาถือหุ้นใหญ่เมื่อปี 2538 และยังเป็นผู้ริเริ่มศูนย์การค้าแฟชั่นไอส์แลนด์ และฟิวเจอร์พาร์ค นอกจากนี้ยังเป็นเจ้าของแบรนด์เสื้อผ้า S’FARE และเจ้าของคอนโดมิเนียมโครงการขนาดใหญ่ Swan Lake ที่เขาใหญ่

ปัจจบุัน “มานิต” ดำรงตำแหน่ง 

  • กรรมการและประธานกรรมการบริหาร บริษัท โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) 
  • กรรมการและประธานกรรมการบริหาร บริษัท อีลิเชี่ยน ดิเวลลอปเม้นท์ จำกัด 
  • กรรมการและประธานกรรมการบริหาร บริษัท เซี่ยงไฮ้ อินน์ จำกัด 
  • กรรมการ บริษัท เกาะมะพร้าว ไอส์แลนด์ จำกัด 
  • กรรมการ บริษัท อาร์ แอล พี จำกัด 
  • กรรมการ บริษัท ยู เอส โฮลดิ้ง จำกัด 

“มานิต” ปรากฎรายชื่อเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ 1 หลักทรัพย์ 

  • บริษัท โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ HMPRO ถือหุ้นใหญ่อันดับ 6 จำนวน 268,989,197 หุ้น หรือ 2.05% (ข้อมูลผู้ถือหุ้น ณ วันที่ 14 ก.ย. 2565) ราคาปิด ณ วันที่ 23 ก.พ.2566 ที่ 15.00 บาท รวมมูลค่า 4,034.83 ล้านบาท

 

  1. สำเริง มนูญผล อายุ 85 ปี มูลค่าพอร์ตหุ้นปัจจุบัน 3,279.34 ล้านบาท 

“สำเริง มนูญผล” จบการศึกษาชั้นมัธยมศึกษา จากโรงเรียนราชบพิธ และได้เข้าอบรมหลักสูตร Director Accreditation Program (DAP) รุ่น 3/2003 จากสมาคมส่งเสริมสถาบันกรรมการ บริษัทไทย (IOD) ในอดีต “สำเริง” ถือว่าเป็นมือขวาของ ดร.เทียม โชควัฒนา ผู้ก่อตั้ง “เครือสหพัฒน์” ซึ่งถือว่า เป็นคนสนิทของตระกูล “โชควัฒนา” ที่คอยบริหารพอร์ต  และชื่อบริหารในบริษัทของเครือสหพัฒน์มากมาย เช่น บริษัท ทรัพย์สินสหพัฒน์ จำกัด , บริษัท ไอ.ซี.ซี. อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) และบมจ.สหพัฒนพิบูลด้วย

ปัจจุบัน สำเริง เป็น รองประธานกรรมการบริษัท / รองประธานกรรมการบริหาร / กรรมการ / กรรมการผู้มีอำนาจลงนามผูกพันบริษัท ให้กับบริษัท สหพัฒนาอินเตอร์โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ SPI และยังเป็นเจ้าของโรงละครเอ็มเธียเตอร์ เดิมคือ โรงละครกรุงเทพ ในนามบริษัท สหมนูญผล จำกัด ซึ่ง สำเริงได้เข้าบริหารและจัดการตั้งแต่ปี 2548 

นอกจากนี้ สำเริง ยังเป็นประธานกรรมการ บริษัท ไฮโดรเจน รีท แมเนจเม้นท์ จำกัด ในฐานะผู้จัดการกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์และสิทธิการเช่าไฮโดรเจน หรือ Hydrogen Freehold and Leasehold Real Estate Investment Trust (กองรีท HYDROGEN) ที่จัดตั้งขึ้นในโอกาสครบรอบ 50 ปีของ บมจ.สหพัฒนาอินเตอร์โฮลดิ้ง 

และยังเป็นที่ปรึกษา และกรรมการ และประธานกรรมการ อีกหลายองค์กร เช่น 

  • ที่ปรึกษา บริษัท ไอ.ซี.ซี. อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน)
  • ที่ปรึกษา บริษัท สหพัฒนพิบูล จำกัด (มหาชน)
  • กรรมการ บริษัท ออกซิเจน แอสเซ็ท จำกัด
  • กรรมการ บริษัท ธนาซิตี้ เวนเจอร์ จำกัด
  • ประธานกรรมการ บริษัท เฟิสท์ยูไนเต็ดอินดัสตรี จำกัด
  • รองประธานกรรมการ บริษัท สห แคปปิตอล ทาวเวอร์ จำกัด
  • ประธานกรรมการ บริษัท ทรัพย์สินสหพัฒน์ จำกัด
  • ประธานกรรมการ / บริษัท วัตสดรมัย จำกัด
  • ที่ปรึกษาเกียรติศักดิ์ โรงพยาบาลเทียนฟ้ามูลนิธิ 

ปัจจุบันปรากฎรายชื่อเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่จำนวน 9 หลักทรัพย์ 

1.บริษัท คันทรี่ กรุ๊ป ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ CGD ถือหุ้นใหญ่อันดับ 7 จำนวน 125,000,000 หุ้น หรือ 1.51% (ข้อมูลผู้ถือหุ้น ณ วันที่ 15 มี.ค. 2565) ราคาปิด ณ วันที่ 23 ก.พ.2566 ที่ 0.51 บาท รวมมูลค่า 63.75 ล้านบาท  

2.บริษัท คันทรี่ กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ CGH ถือหุ้นใหญ่อันดับ 4 จำนวน 206,000,000 หุ้น หรือ 5.14% (ข้อมูลผู้ถือหุ้น ณ วันที่ 15 มี.ค. 2565) ราคาปิด ณ วันที่ 23 ก.พ.2566 ที่ 0.94 บาท รวมมูลค่า 193.64 ล้านบาท  

3.บริษัท ฟาร์อีสท์ เฟมไลน์ ดีดีบี จำกัด (มหาชน) หรือ FE ถือหุ้นใหญ่อันดับ 2 จำนวน 953,800 หุ้น หรือ 12.12% (ข้อมูลผู้ถือหุ้น ณ วันที่ 10 พ.ค.2565) ราคาปิด ณ วันที่ 22 ก.พ.2566 ที่ 200.00 บาท รวมมูลค่า 190.76 ล้านบาท 

4.บริษัท โกลบอลกรีนเคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ GGC ถือหุ้นใหญ่อันดับ 2 จำนวน 139,631,900 หุ้น หรือ 13.64% (ข้อมูลผู้ถือหุ้น ณ วันที่ 23 ส.ค. 2565) ราคาปิด ณ วันที่ 23 ก.พ.2566 ที่ 13.00 บาท รวมมูลค่า 1,815.21 ล้านบาท

5.บริษัท แอล เอช ไฟแนนซ์เชียล กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ LHFG ถือหุ้นใหญ่อันดับ 4 จำนวน 342,133,800 หุ้น หรือ 1.62% (ข้อมูลผู้ถือหุ้น ณ วันที่ 28 เม.ย.2565) ราคาปิด ณ วันที่ 23 ก.พ.2566 ที่ 1.18 บาท รวมมูลค่า 403.71 ล้านบาท

6.บริษัท โอ ซี ซี จำกัด (มหาชน) หรือ OCC ถือหุ้นใหญ่อันดับ 2 จำนวน 9,241,540 หุ้น หรือ 15.40% (ข้อมูลผู้ถือหุ้น ณ วันที่ 5 พ.ค.2565) ราคาปิด ณ วันที่ 22 ก.พ.2566 ที่ 10.40 บาท รวมมูลค่า 96.11 ล้านบาท

7.บริษัท ประชาอาภรณ์ จำกัด (มหาชน) หรือ PG ถือหุ้นใหญ่อันดับ 7 จำนวน 4,107,700 หุ้น หรือ 4.28% (ข้อมูลผู้ถือหุ้น ณ วันที่ 12 พ.ค. 2565) ราคาปิด ณ วันที่ 23 ก.พ.2566 ที่ 8.10 บาท รวมมูลค่า 33.27 ล้านบาท

8.บริษัท สหพัฒนพิบูล จำกัด (มหาชน) หรือ SPC ถือหุ้นใหญ่อันดับ 9  จำนวน 7,200,344 หุ้น หรือ 2.18% (ข้อมูลผู้ถือหุ้น ณ วันที่ 24 พ.ย.2565) ราคาปิด ณ วันที่ 22 ก.พ.2566 ที่ 63.75 บาท รวมมูลค่า 459.02 ล้านบาท

9.บริษัท ที เอส ฟลาวมิลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TMILL ถือหุ้นใหญ่อันดับ 4 จำนวน 5,964,800 หุ้น หรือ 1.50% (ข้อมูลผู้ถือหุ้น ณ วันที่ 10 พ.ย. 2565) ราคาปิด ณ วันที่ 23 ก.พ.2566 ที่ 4.00 บาท รวมมูลค่า 23.85 ล้านบาท

 

  1. สุดารัตน์ วิทยฐานกรณ์ มูลค่าพอร์ตหุ้นปัจจุบัน 1,791.13 ล้านบาท

“สุดารัตน” จบการศึกษาประกาศนียบัตรวิชาชีพ การบัญชี หรือ ปวช. (เทียบเท่ามัธยมศึกษาปีที่ 6) จากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลพระนคร วิทยาเขตพาณิชยการพระนคร และเริ่มเข้ามาทำธุรกิจครอบครัวภายใต้ชื่อ บริษัท น้ำมันพืชไทย จำกัด ตั้งแต่ปี 2528 บริหารจัดการจนประสบความสำเร็จ ปี 2533 สามารถนำธุรกิจเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ภายใต้ชื่อ บริษัท น้ำมันพืชไทย จำกัด (มหาชน) หรือ TVO (น้ำมันพืชตราองุ่น) เป็นบริษัทอุตสาหกรรมน้ำมันพืชชั้นนำของอาเซียน และได้รับการคัดเลือกเป็นหนึ่งในบริษัทจดทะเบียนที่น่าลงทุน ประจำปี 2559 จากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

และในปี 2559 เดียวกัน “สุดารัตน์” มหาวิทยาลัยศรีปทุม มอบปริญญาศิลปศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาวิชาการจัดการ และยังได้รับปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา จากมหาวิทยาลัยรามคำแหง 

นอกจากนี้ “สุดารัตน์” ยังเข้าอบรมในหลักสูตรด้านการบริหารจัดการมากมายหลายหลักสูตร เช่นสถาบันวิทยาการตลาดทุน รุ่นที่ 8 ทำให้สามารถบูรณาการศาสตร์ต่างๆ มาประยุกต์ใช้ในการทำงานจนประสบความสำเร็จอย่างสูง

ปัจุบัน “สุดารัตน์” ปรากฎรายชื่อเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ 2 หลักทรัพย์

  • บริษัท น้ำมันพืชไทย จำกัด (มหาชน) หรือ TVO ถือหุ้นใหญ่อันดับ 1จำนวน 61,528,900 หุ้น หรือ 7.61% (ข้อมูลผู้ถือหุ้น ณ วันที่ 29 ส.ค.2565) ราคาปิด ณ วันที่ 23 ก.พ.2566 ที่ 28.75 บาท รวมมูลค่า 1,768.95 ล้านบาท
  • บริษัท พรอดดิจิ จำกัด (มหาชน) หรือ PDG ถือหุ้นใหญ่อันดับ 9 จำนวน 6,600,000 หุ้น หรือ 2.22% (ข้อมูลผู้ถือหุ้น ณ วันที่ 29 ส.ค. 2565) ราคาปิด ณ วันที่ 23 ก.พ.2566 ที่ 3.36 บาท รวมมูลค่า 22.17 ล้านบาท

 

  1. กมล ว่องกุศลกิจ อายุ 88 ปี มูลค่าพอร์ตหุ้นปัจจุบัน 1,012.89 ล้านบาท

“กมล ว่องกุศลกิจ” เป็นชาวกรับใหญ่ อำเภอบ้านโป่ง จังหวัดราชบุรี พ่อแม่เกษตรกรชาวบ้านห้วยแล้ง (ห้วยเจริญผล) มีพี่น้องรวมทั้งหมด 8 คน กมลเป็นคนที่  2 เมื่อจบการศึกษาในระดับประถมปีที่ 4 โรงเรียนสามัคคีวิทยา ราชบุรี ก็ออกมาช่วยครอบครัวทำไร่ ซึ่งเป็นอาชีพหลักของชาวกรับใหญ่ในสมัยนั้น หลังจากนั้น ปี 2496 กลม ริเริ่มเปลี่ยนมาปลูกอ้อยและตั้งโรงหีบน้ำอ้อยทำน้ำตาลทรายขึ้น

และขยายพื้นที่ปลูกรวมทั้งขยายโรงงานให้ใหญ่โต มีปริมาณผลิตมากขึ้นและทันสมัยขึ้น โดยตั้งเป็น บริษัท น้ำตาลมิตรผล จำกัด ขึ้นที่ ต.ท่าผา  อ.บ้านโป่ง  ซึ่งปัจจุบันได้ย้ายไปอยู่ที่ อ.ด่านช้าง จ.สุพรรณบุรี นอกจากนี้ยังได้ขยายกิจการไปที่ จ.กำแพงเพชร  คือ บริษัทน้ำตาลสยาม  และบริษัทรวมเกษตรกร  อุตสาหกรรม จำกัด ที่ อ.ภูเขียว จ.ชัยภูมิ  ฯลฯ  และได้จัดตั้ง บริษัท ยูไนเต็ดแสตนดาร์ดเทอร์มินอล จำกัด (มหาชน) เป็นบริษัทในเครือ เพื่อส่งออกน้ำตาลไปยังต่างประเทศด้วย ปัจจุบัน “กมล” เป็นที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ กลุ่มมิตรผล 

นอกจากกิจการด้านโรงงานน้ำตาลแล้ว ยังมีกิจการอื่น ๆ อีกหลายอย่าง โดยมีพี่น้องช่วยกันควบคุมดูแล ได้แก่ห้างสรรพสินค้าอัมรินทร์พลาซ่า โรงพยาบาลเซ็นทรัลเยนเนอรัล โรงแรมแกรนด์ ไฮแอท เอราวัณและบริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) 

“กมล” ยังเป็นผู้ก่อตั้งและอุปการะโรงเรียนกรับใหญ่ว่องกุศลกิจพิทยาคม ในฐานะประธานคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐานฯ นายกสมาคมศิษย์เก่า ครูและผู้ปกครองโรงเรียนกรับใหญ่ว่องกุศลกิจพิทยาคม นอกจากนี้ลูกทั้ง 9 คน ส่วนใหญ่แล้ว “กมล” ส่งร่ำเรียนจนจบปริญญาตรี และโท ทั้งในประเทศ และสหรัฐอเมริกา 

“กมล” ปรากฎรายชื่อเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ 1 หลักทรัพย์

  • บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) หรือ BANPU ถือหุ้นใหญ่อันดับ 5 จำนวน 89,637,146 หุ้น หรือ 1.32% (ข้อมูลผู้ถือหุ้น ณ วันที่ 15 ก.ย. 2565) ราคาปิด ณ วันที่ 23 ก.พ.2566 ที่ 11.30 บาท รวมมูลค่า 1,012.89 ล้านบาท

 

อย่างไรก็ตาม ยังมีนักธุรกิจ และเจ้าของกิจการอีกมากมายหลายคนในหลากหลายแวดวงการที่สามารถประสบความสำเร็จได้โดยที่ไม่ต้องพึ่งใบปริญญา หากคน ๆ นั้นมีความมุมานะ ตั้งใจ ขยัน อดทน พยายาม และตั้งเป้าหมายที่ชัดเจนในการทำตามความฝันของตัวเองก็จะสามารถก้าวไปถึงฝั่งฝันได้ไม่ยาก