'บล.ทรีนีตี้' มอง SET เดือนม.ค. ไร้กังวล กรอบ 1,620 - 1,700 จุด ชู 5 กลุ่มหุ้นเด่น

'บล.ทรีนีตี้' มอง SET เดือนม.ค. ไร้กังวล กรอบ 1,620 - 1,700 จุด ชู 5 กลุ่มหุ้นเด่น

"บล.ทรีนีตี้" ให้กรอบดัชนีหุ้นเดือนม.ค. 2566 ที่ระดับ 1,620 - 1,700 จุด ยังไร้กังวลแรงขาย LTF แนะลงทุนหุ้น 5 ธีมหลัก เช่น หุ้นอิงเศรษฐกิจในประเทศได้รับผลดีจากมาตรการ “ช้อปดีมีคืน” หุ้นท่องเที่ยว หุ้นปันผล

นายณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด เปิดเผยถึงทิศทางการลงทุนเดือนมกราคม 2566 ว่า  คาด SET Index แกว่งตัวในกรอบ 1,620 - 1,700 จุด ในเชิงกลยุทธ์ แนะถือครองหุ้นเพื่อ Let profit run สำหรับหุ้นที่ได้เข้าซื้อช่วงดัชนีต่ำกว่าระดับ 1,640 จุด

โดยการถือครอง ยังคงเน้นไปที่ธีมการลงทุนแนะนำหลักของเราประจำไตรมาส 1 ซึ่งได้แก่  

1. กลุ่ม Domestic cyclical ที่อิงกับการเติบโตของเศรษฐกิจในประเทศ ได้แก่ GLOBAL, PLANB, SC, STEC

2. กลุ่มที่เกี่ยวข้องกับภาคการท่องเที่ยว และราคายังคงปรับตัว Laggard ได้แก่ กลุ่ม PF&REIT

3. กลุ่ม Anti-Commodity ที่ได้ประโยชน์จากราคาโภคภัณฑ์ขาลง ได้แก่ GPSC

4. กลุ่ม Counter Cyclical เพื่อ Hedging พอร์ตหากเศรษฐกิจชะลอเร็วกว่าคาด ได้แก่ JMT

5. กลุ่มหุ้นปันผลสูงที่เข้าสู่ High season ได้แก่ ADVANC, SCC, TISCO

ประเมินว่าทิศทางดัชนี SET ในช่วงเดือนมกราคม ยังไม่มีอะไรน่ากังวลใจมากนัก โดยแรงกดดันที่จะเกิดขึ้นจากการไถ่ถอนกองทุน LTF นั้นมองไม่มีนัยสำคัญ โดยน่าจะอยู่ในระดับต่ำกว่า 8 พันล้านบาท หลังนักลงทุนส่วนใหญ่ที่มีการเข้าซื้อกองทุนนี้ในปี 2017 ยังคงประสบผลขาดทุนอยู่ จึงอาจจะไม่ได้มีแรงจูงใจในการขายกองมากนัก

ในส่วนของปัจจัยกระตุ้นอื่น มองไปยังมาตรการ ‘ช้อปดีมีคืน’ ที่น่าจะช่วยเข้ามาสร้างสีสันให้กับการจับจ่ายใช้สอยในประเทศได้บ้าง ส่วนทางภาคการคลังสหรัฐ จับตาความคาดหวังของนักลงทุนเชิงบวกต่อการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบใหม่ ภายหลังจากการเข้ามาทำงานอย่างเป็นทางการของ Congress ชุดใหม่ ซึ่งมีการเปลี่ยนขั้วเสียงข้างมากจากพรรคเดโมแครตไปเป็นรีพับลิกัน

สำหรับการประชุมธนาคารกลางในเดือนนี้ มีที่น่าจับตา ได้แก่ การประชุม กนง.ของไทยในวันที่ 25 มกราคม  ซึ่งหากมีการขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่องเป็นครั้งที่ 4 ไปอยู่ที่ 1.50% ก็ไม่ได้ถือเป็นเรื่องที่ Surprise แต่อย่างใด

ส่วนปัจจัยที่น่าติดตามระยะสั้น ได้แก่ รายงานตัวเลขภาคการผลิตของประเทศสำคัญต่างๆ ที่ดูเหมือนจะออกมาอ่อนแอมากขึ้น เปิดความเสี่ยงต่อภาคการส่งออกของไทยในช่วงถัดไป รวมถึงรายงานตัวเลขตลาดแรงงานของสหรัฐประจำเดือนธ.ค. ซึ่งมีโอกาสเป็นตัวกำหนดแผนการดำเนินนโยบายการเงินของ Fed ในช่วงถัดไป โดยเฉพาะหากตัวเลขจริงออกมาทรงตัว หรืออ่อนแอจากเดือนก่อน เนื่องจากจะเป็นการยืนยันถึงแผนการลดความเร็วการขึ้นดอกเบี้ยของ Fed ในช่วงถัดไปได้

 

 

 

พิสูจน์อักษร....สุรีย์  ศิลาวงษ์