เปิดใจ "หมอเส" กับภารกิจดันรพ.ศัลยกรรมครบวงจร "มาสเตอร์พีซ" เข้าตลาดหุ้นไทย

เปิดใจ "หมอเส" กับภารกิจดันรพ.ศัลยกรรมครบวงจร "มาสเตอร์พีซ" เข้าตลาดหุ้นไทย

เปิดใจ "หมอเส" นพ.ระวีวัฒน์ มาศฉมาดล แพทย์ศัลยกรรมชื่อดัง เจ้าของ "โรงพยาบาลมาสเตอร์พีซ" โรงพยาบาลศัลยกรรมครบวงจรที่ใหญ่ที่สุดในไทยและอาเซียน กับภารกิจนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ

นายแพทย์ระวีวัฒน์ มาศฉมาดล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท มาสเตอร์ สไตล์ จำกัด (มหาชน) หรือ MASTER โรงพยาบาลด้านศัลยกรรมเสริมความงาม ภายใต้ชื่อโรงพยาบาลมาสเตอร์พีซ "Masterpiece" กล่าวว่า ธุรกิจศัลยกรรมยังมีโอกาสเติบโตอีกมาก เนื่องจากทุกวันนี้คนส่วนใหญ่หันมาดูแลสุขภาพร่างกาย รูปหน้าหน้าตาของตัวเองมากขึ้น ปัจจุบันโลกได้เปลี่ยนไปแล้ว การทำศัลยกรรมถือเป็นเรื่องปกติ ไม่ต้องคอยหลบๆ ซ่อนๆ เหมือนในอดีต

โดยมีสื่อโซเชียลมีเดียเข้ามาเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยทำให้ธุรกิจศัลยกรรมเติบโตอย่างก้าวกระโดด เนื่องจากสามารถสื่อสารได้อย่างรวดเร็ว เข้าถึงคนทุกเพศทุกวัย จะเห็นว่าทุกวันนี้เมื่อทำศัลยกรรมแล้วดูดีขึ้น คนก็อยากจะโชว์ อยากจะโพสลงโซเชียลมีเดีย ทำให้เกิดการบอกต่อ ยิ่งเป็นศิลปิน ดารา นักร้อง นักแสดง อินฟลูเอนเซอร์ที่เราชื่นชอบ หรือ แม้กระทั่งเพื่อน คนใกล้ชิด คนในครอบครัวยิ่งมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจ

ดังนั้น เมื่อมองว่าตลาดศัลยกรรมยังมีโอกาสเติบโตอีกมาก บริษัทจึงมีแผนขยายธุรกิจเพื่อรองรับความต้องการของลูกค้าที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากทุกวันนี้การให้บริการเต็มศักยภาพที่จะรองรับได้แล้ว จึงเป็นที่มาของการเข้าระดมทุนในตลาดหุ้น

เขา มองว่า ขณะนี้เป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมในการระดมทุน หลังตลอด 9 ปีที่ผ่านมา ได้ทำการวางรากฐาน พัฒนาระบบต่างๆ เสมือนเป็นครัวกลางเสร็จเรียบร้อยแล้ว ซึ่งหากย้อนกลับไปจุดเริ่มต้นของบริษัทเติบโตมาจากคลินิกความงาม แต่ทุกวันนี้โรงพยาบาลมาสเตอร์พีซกลายเป็นโรงพยาบาลด้านศัลยกรรมครบวงจรที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทยและภูมิภาคอาเซียน จึงมั่นใจว่าในการเข้าสู่ปีที่ 10 เราพร้อมแล้วที่จะเดินหน้าขยายธุรกิจและเป็นบริษัทจดทะเบียนอย่างเต็มรูปแบบ

เปิดใจ "หมอเส" กับภารกิจดันรพ.ศัลยกรรมครบวงจร "มาสเตอร์พีซ" เข้าตลาดหุ้นไทย

“ตลอด 9 ปีที่ผ่านมา ผมทำงานทุกวัน เราพัฒนาทุกวัน ผมบอกทุกคนเสมอว่าให้มองเป้าหมายเหมือนกับดวงอาทิตย์ เวลาเดินไปต้องมองเห็นตลอด แต่อย่าไปมองซะจนตาพร่า ให้เหลือบมองพอ แล้วมองกลับมาที่ปัจจุบันว่าเรากำลังก้าวเดินอยู่หรือเปล่า เราไปถูกทางหรือเปล่า ต้องโฟกัสกับการเดินไม่ให้เราล้ม”

สำหรับการระดมทุนบริษัทมีแผนเสนอขายหุ้นสามัญต่อประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) จำนวนรวมไม่เกิน 65,000,000 หุ้น คิดเป็น 27.08% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนในครั้งนี้ โดยจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) มีบริษัท ไพโอเนีย แอดไวเซอรี่ จำกัด เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน

โดยปัจจุบันทางสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (กลต.) ได้อนุมัติแบบคำขออนุญาตเสนอขายหุ้นที่ออกใหม่ต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) เรียบร้อยแล้ว ซึ่งในช่วงต้นเดือน ม.ค. 2566 บริษัทมีแผนที่จะเดินสายโรดโชว์เพื่อให้ข้อมูลกับนักลงทุนในจังหวัดต่างๆ

วัตถุประสงค์ของการระดมทุนในครั้งนี้ บริษัทมีแผนที่จะนำเงินที่ได้จากการระดมทุนครั้งนี้ ไปขยายศักยภาพในการให้บริการเพื่อให้สามารถรอบรับผู้ใช้บริการได้มากขึ้น โดยจะมีการปรับปรุงอาคารและห้องผ่าตัดบนพื้นที่โรงพยาบาลเดิม รวมถึงจัดซื้อเครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์สำหรับการศัลยกรรม (Surgery) การปลูกผมและดูแลเส้นผม (Hair) และบริการดูแลผิวพรรณและเลเซอร์ (Skin)

เงินลงทุนสำหรับก่อสร้างและปรับปรุงอาคาร เพื่อขยายพื้นที่ศูนย์บริการ เช่น ศูนย์ดูแลเส้นผม ศูนย์ดูดไขมัน ศูนย์ตา และศูนย์สุขภาพชาย รวมถึงสิ่งอำนวยความสะดวก และสำนักงาน ส่วนที่เหลือเก็บไว้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินงานในอนาคต

“ผมอยากฝากถึงนักลงทุนว่าผมรักธุรกิจนี้มาก อยากเห็นมันเติบโต อยากให้วันหนึ่งเรามองกลับมาแล้วเป็นธุรกกิจที่ทุกคนพูดถึง ผมสร้าง trust ในหมู่ลูกค้า คู่ค้า มาแล้ว ก้าวต่อไปผมอยากสร้าง trust ให้กับนักลงทุนเช่นกัน”

เปิดใจ "หมอเส" กับภารกิจดันรพ.ศัลยกรรมครบวงจร "มาสเตอร์พีซ" เข้าตลาดหุ้นไทย

ด้านผลประกอบการของบริษัทในช่วงที่ผ่านมา พบว่ารายได้และกำไรสุทธิในปี 2562-2564 เติบโตต่อเนื่อง โดยมีรายได้รวม 414.03 ล้านบาท, 611.06 ล้านบาท, 659.51 ล้านบาท ตามลำดับ และมีกำไรสุทธิรวม 61.25 ล้านบาท, 128.55 ล้านบาท, 162.80 ล้านบาท

และล่าสุดงวด 9 เดือนปี 2565 บริษัทมีรายได้จากการประกอบกิจการโรงพยาบาล 1,011.14 ล้านบาท ทะลุหลักพันล้านบาทเป็นครั้งแรก และมีกำไรสุทธิรวม 222.22 ล้านบาท

“การเติบโตของเราเหมือนกับกราฟ Exponential จากเดิมหมอหนึ่งคนต้องใช้เวลาหลายปีกว่าจะชำนาญ แต่เราสามารถพัฒนาหลักสูตรขึ้นมาได้ ไม่เกิน 14 วัน หรือเต็มที่ 1 เดือนก็เก่งแล้ว ที่สำคัญตั้งแต่เปิดให้บริการมาถึงทุกวันนี้ ผมให้นโยบายมาโดยตลอดว่าทุกคน ไม่ว่าจะคนไทยหรือต่างชาติ ต้องคิดราคาเดียวกันหมด เป็นราคามาตรฐาน แต่ราคาก็จะเพิ่มขึ้นได้อยู่กับออปชั่นที่คนไข้เลือกว่าจะทำกับคุณหมอท่านไหน ใช้เทคนิคอะไร และวัสดุอะไร”