STP คาด 4Q65 เริ่มเติบโตจากการรับรู้กำลังการผลิตใหม่

STP คาด 4Q65 เริ่มเติบโตจากการรับรู้กำลังการผลิตใหม่

บริษัทรายงานกำไร 3Q65 ที่ 29.8 ลบ. เป็นไปตามที่เราคาด โดยรายได้เติบโต 2%QoQ และ 10%YoY สู่ 148 ลบ. เนื่องจากได้รับคำสั่งผลิตเพิ่มขึ้นจากลูกค้าที่จำหน่ายอาหารทะเลบรรจุกระป๋องและอาหารทะเลแปรรูป

ขณะที่อัตรากำไรขั้นต้นทรงตัวใกล้เคียง 2Q65 ที่ 35.1% เนื่องจากสต็อกวัตถุดิบทรงตัวในระดับสูงตามอัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้น ด้านค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารที่เป็นตัวเงินทรงตัวที่ระดับ 19.55 ลบ. หรือคิดเป็น 13.2%ของรายได้ ทั้งนี้บริษัทรายงานกำไร 9M65 ที่ 94 ลบ. เป็นหดตัว 4%YoY และคิดเป็น 73% ของประมาณการทั้งปีราว 129 ลบ.
 

-   ติดตั้งเครื่องจักรล็อตแรกแล้วเสร็จใน 3Q65 ส่งผลให้กำลังการผลิตเพิ่มขึ้น 25% : บริษัทได้ก่อสร้างคลังสินค้าใหม่พร้อมติดตั้งเครื่องจักรใหม่ชุดแรกกำลังการผลิตราว 12.5 ล้านแผ่นพิมพ์ต่อปี (กำลังการผลิตในปัจจุบัน 49.5 ล้านแผ่นพิมพ์ต่อปี) แล้วเสร็จตั้งแต่ปลาย 3Q65 ส่งผลให้ใน 4Q65 จะลดการใช้โรงงานภายนอกในการผลิต (outsource) ลงด้านอัตราการทำกำไรของบริษัทมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นเนื่องจากการใช้โรงงานภายนอกในการผลิตมีอัตรากำไรขั้นต้นต่ำกว่าค่าเฉลี่ย ทั้งนี้ บริษัทอยู่ระหว่างก่อสร้างโรงงานพื้นที่ 5,300 ตารางเมตร (คาดว่าแล้วเสร็จ 4Q65) และติดตั้งเครื่องจักรกำลังการผลิตอีก 12.5 ล้านแผนพิมพ์ต่อปีซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จ 1Q66 หากก่อสร้างแล้วเสร็จจะทำให้บริษัทมีกำลังการผลิตรวม 74.6 ล้านแผ่นพิมพ์ต่อปีเพิ่มขึ้น 50% จากกำลังการผลิตในปัจจุบัน นอกจากนี้บริษัทอยู่ระหว่างขอรับบัตรส่งเสริมการลงทุนจาก BOI หากได้รับบัตรดังกล่าวจะส่งผลให้ค่าใช้จ่ายภาษีลดลง

 

 


 

-  คาดปี 2562-2570 อุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์เติบโต 8%ต่อปี : สืบเนื่องจากการแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 ส่งผลให้ผู้บริโภคเริ่มเปลี่ยนพฤติกรรมมาซื้อผ่านช่องทางออนไลน์เพิ่มขึ้นทำให้มีความต้องการผลิตภัณฑ์บรรจุภัณฑ์เพิ่มขึ้นตามไปด้วย สอดคล้องกับ Businesswire (2001) ที่คาดว่ามูลค่าตลาดบรรจุภัณฑ์โลกจะขยายตัว 8% ต่อปี ในช่วงปี 2562 – 2570 นอกจากนี้ประเทศไทยเป็นผู้ส่งออกบรรจุภัณฑ์รายใหญ่ที่สุดในอาเซียน มีมูลค่าส่งออกในไตรมาสสองของปี 2565 รวม 19,026 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 22% ซึ่งมีจุดแข็งในเรื่องความได้เปรียบเชิงเทคโนโลยีและคุณภาพของบรรจุภัณฑ์ เมื่อเทียบกับคู่แข่งหลักอย่างเวียดนาม มาเลเซีย และอินโดนีเซีย ซึ่งเป็นโอกาสขยายตลาดของผู้ผลิตบรรจุภัณฑ์ไทยในอนาคต

-  คงประมาณปี 65 และ 66 ที่ 129 ลบ. และ 162 ลบ. เนื่องจากการขยายกำลังการผลิตจะรับรู้ในปี 66 : ฝ่ายวิจัยคงประมาณการรายได้ปี 65 และ 66 ที่ 617 ลบ. และ 710 ลบ. เติบโต 10% และ 15% ตามลำดับ และคงกำไรสุทธิปี 65 และ 66 ที่ 129 ลบ. และ 162 ลบ. เติบโต 4%YoY และ 26%YoY ตามลำดับ โดยเราคงสมมติฐานอัตรากำไรขั้นต้นปี 65 ที่ 36.3% (9M65 GPM 35.8%) เนื่องจากคาดว่า 4Q65 จะรับรู้กำลังการผลิตใหม่ทำให้ใช้โรงงานภายนอกลดลงช่วยหนุนอัตรากำไรขั้นต้นปรับดีขึ้น และเราคาดว่าปี 66 อัตรากำไรขั้นต้นจะปรับตัวดีขึ้นจากปี 65 สู่ 37.6% เนื่องจากไม่มีการใช้โรงงานภายนอกในการผลิตและอยู่ระหว่างขอบัตรส่งเสริมการลงทุน (BOI) ส่งผลให้อัตราภาษีเงินได้มีแนวโน้มลดลงจากปัจจุบันอัตราภาษีอยู่ที่ 20%

 

 

-  คงคำแนะนำ “ซื้อ” พร้อมปรับใช้ราคาเหมาะสมปี 66 ที่ 21.90 บาท : ฝ่ายวิจัยประเมินมูลค่าด้วยวิธี Prospective P/E Ratio โดยอ้างอิง P/E Ratio ที่ 13.7 เท่าซึ่งเป็นค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 1 ปีของบริษัทที่ดำเนินธุรกิจผลิตบรรจุภัณฑ์กระดาษแบบออฟเซทซึ่งแสดงตามตารางด้านล่าง อาทิ SPACK และ UTP พร้อมปรับลดด้วย 0.25 S.D. เนื่องจากผลประกอบการของบริษัทได้รับผลกระทบจากต้นทุนวัตถุดิบและพลังงานที่เพิ่มสูงขึ้นชดเชยผลบวกจากการขยายกำลังการผลิต และคาดการณ์กำไรต่อหุ้น (EPS) สำหรับปี 2566 ที่ 1.60 บาทต่อหุ้น ได้ราคาเหมาะสมปี 66 ที่ 21.90 บาทเพิ่มขึ้นจากราคาเหมาะสมปี 65 ที่ 21.30 บาท 

 

ปัจจัยเสี่ยง


i)    การก่อสร้างโรงงานล่าช้ากว่าแผน
ii)    ต้นทุนเยื่อกระดาษและต้นทุนพลังงานปรับตัวขึ้น
iii)    ลูกค้ารายใหญ่ชะลอคำสั่งซื้อ