แนวทาง ผลิต-ขาย "กัญชา กัญชง" ให้ถูกกฎหมาย และภาษีที่ต้องเสีย

แนวทาง ผลิต-ขาย "กัญชา กัญชง" ให้ถูกกฎหมาย และภาษีที่ต้องเสีย

แม้ว่าไทยจะ "ปลดล็อกกัญชา" รวมถึง "กัญชง" เรียบร้อยแล้ว แต่สำหรับใครที่กำลังหันมาทำธุรกิจกัญชาและกัญชง ยังคงต้องศึกษาแนวทางการทำธุรกิจประเภทนี้ โดยเฉพาะการยื่นภาษีให้ถูกต้องที่กฎหมายกำหนด

แม้ว่าปัจจุบันประเทศไทยจะปลดล็อกกัญชา โดยกำหนดให้ "ทุกส่วนของกัญชา" ไม่ถือว่าเป็นยาเสพติด และสารสกัดกัญชาที่มีสาร THC หรือ CBD ไม่เกิน 0.2% ไม่ถือเป็นยาเสพติด สามารถปลูกเพื่อใช้ในทางการแพทย์ได้แล้ว 

แต่ทุกอย่างต้องเป็นไปตามเงื่อนไขที่กฎหมายกำหนด อย่างเช่นการขออนุญาตปลูกกัญชา การนำกัญชามาปรุงอาหาร  โดยกฎหมายได้อนุญาตให้บุคคล 4 กลุ่มที่สามารถปลูกกัญชาได้แต่ต้องขออนุญาตก่อน คือ

1.หน่วยงานของรัฐ 
2.ผู้ประกอบวิชาชีพด้านการแพทย์ 
3.สถาบันอุดมศึกษา 
4.อาชีพเกษตรกรรม

แนวทาง ผลิต-ขาย \"กัญชา กัญชง\" ให้ถูกกฎหมาย และภาษีที่ต้องเสีย

ดังนั้น การปลดล็อกกัญชา กัญชง เพื่อใช้ประโยชน์ในการรักษาและดูแลสุขภาพของประชาชน ก็ยังมีการควบคุมการผลิตและจำหน่ายอยู่ ซึ่งใครที่กำลังหันมาทำธุรกิจกัญชา กัญชง จะต้องศึกษาแนวทางการทำธุรกิจประเภทนี้ให้ถูกต้องตามที่กฎหมายกำหนดดังนี้ 

  • ต้องได้รับอนุญาตจึงจะประกอบธุรกิจกัญชาได้

ในกรณีที่ต้องการปลูกกัญชาสำหรับอาชีพเกษตรกรรม จะต้องเป็นบุคคลที่ประกอบอาชีพเกษตรกรและรวมตัวกันอยู่ในรูปของวิสาหกิจชุมชน วิสาหกิจเพื่อสังคม หรือสหกรณ์การเกษตร ซึ่งจดทะเบียนอย่างถูกต้อง และดำเนินการภายใต้ความร่วมมือและกำกับดูแลของหน่วยงานรัฐ วัตถุประสงค์เพื่อปลูกกัญชาโดยเฉพาะ และได้รับอนุญาตจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ก่อน จึงจะสามารถปลูกได้ ซึ่งมีขั้นตอนดังนี้

1.ยื่นคำขอและเอกสาร ที่สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา หรือสำนักงานสาธารณสุขจังหวัด ณ สถานที่ปลูกตั้งอยู่

2.ตรวจประเมินสถานที่ขออนุญาตปลูกกัญชา

3.นำเรื่องเข้าที่ประชุมในส่วนงานต่างๆ ของรัฐที่เกี่ยวข้อง เพื่อพิจารณาใบคำขอ

4.ออกใบอนุญาต

โดยการขออนุญาตปลูกกัญชานี้ ผู้ขออนุญาตต้องมีความชัดเจนว่าจะปลูกจำนวนเท่าไร และจะนำผลผลิตดังกล่าวไปขายให้ใคร โดยต้องกำหนดผู้รับซื้อที่ชัดเจน 

แนวทาง ผลิต-ขาย \"กัญชา กัญชง\" ให้ถูกกฎหมาย และภาษีที่ต้องเสีย

ทั้งนี้ การนำกัญชามาใช้ในอุตสาหกรรมประเภทต่างๆ เช่น การใช้ประกอบอาหาร เครื่องสำอาง สิ่งทอ ยานยนต์ ผลิตภัณฑ์สมุนไพร และยา แต่ไม่ใช่การใช้เสพโดยเสรีเพื่อสันทนาการ กฎหมายกำหนดให้ทุกส่วนของต้นกัญชาไม่เป็นยาเสพติด สามารถนำมาใช้ในอุตสาหกรรมดังกล่าวได้ 

ยกเว้นเมล็ดกัญชา และช่อดอก ที่ยังคงเป็นยาเสพติดอยู่ใช้ได้แค่ในทางการแพทย์ ศึกษาวิจัย ผลิตสารสกัดและเพาะพันธุ์ในส่วนของสารสกัด CBD หรือ THC ต้องมีปริมาณ THC ไม่เกิน 0.2% จึงจะสามารถนำมาใช้ได้อย่างถูกกฎหมาย 

สำหรับร้านอาหารที่ต้องการซื้อส่วนประกอบของกัญชามาใช้ในการปรุงอาหาร จะต้องซื้อจากแหล่งปลูก ที่ได้รับอนุญาตตามกฎหมาย และร้านอาหารไม่ต้องทำหนังสือขออนุญาต แต่ควรติดป้ายแนะนำหรือกำหนดอายุของลูกค้าที่จะมาใช้บริการของทางร้านตามแต่ความเหมาะสม

 

  • หลักการจำหน่ายกัญชา กัญชง

ในส่วนของการขายส่วนของพืชกัญชา จะต้องทำตามเงื่อนไขดังนี้

1. หากจำหน่ายส่วนของพืช ไม่ต้องขอรับอนุญาตตามกฎหมายว่าด้วยยาเสพติด

2. หากจำหน่ายเมล็ดพันธุ์และกิ่งพันธุ์ จะต้องขอรับอนุญาตตามพระราชบัญญัติพันธุ์พืช พ.ศ.2518

3. หากจำหน่ายสารสกัดที่ได้รับอนุญาตให้สกัดตามกฎหมายว่าด้วยยาเสพติด

- กรณีเป็นสารสกัดที่มี THC ไม่เกิน 0.2% ไม่ต้องมีใบอนุญาต
- กรณีสารสกัดที่มี THC เกิน 0.2% ต้องมีใบอนุญาตจำหน่าย และผู้ซื้อต้องมีใบอนุญาตเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษด้วย
- กรณีสารสกัดที่มี THC เกิน 0.2% ต้องมีใบอนุญาตจำหน่าย และผู้ซื้อต้องมีใบอนุญาตเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษด้วย 

4. การจำหน่ายผลิตภัณฑ์ ให้เป็นไปตามกฎหมายว่าด้วยผลิตภัณฑ์นั้น

  • ผลิตภัณฑ์สุขภาพจากกัญชา กัญชง ที่ได้รับอนุญาต

จากหลักการจำหน่ายกัญชา กัญชง ในหัวข้อ “การจำหน่ายผลิตภัณฑ์ ให้เป็นไปตามกฎหมายว่าด้วยผลิตภัณฑ์นั้น” ทางสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ได้มีการอนุญาตผลิตภัณฑ์สุขภาพจากกัญชา กัญชง ไว้ทั้งหมดดังนี้

1.ผลิตภัณฑ์อาหาร อนุญาตทั้งสิ้น 90 รายการ

- อาหารที่มีเมล็ดกัญชง น้ำมันเมล็ดกัญชง จำนวน 10 รายการ เช่น ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ขนมขบเคี้ยว และน้ำมันเมล็ดกัญชง
- อาหารที่มีส่วนประกอบของกัญชาหรือกัญชง จำนวน 77 รายการ เช่น ซอสในภาชนะบรรจุที่ปิดสนิท เครื่องดื่มในภาชนะบรรจุที่ปิดสนิท ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร อาหารสำเร็จรูปที่พร้อมบริโภคทันที และกาแฟ
- อาหารที่มีสารสกัด CBD เป็นส่วนประกอบ จำนวน 3 รายการ เช่น เครื่องดื่มในภาชนะบรรจุที่ปิดสนิท และผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร

2. ผลิตภัณฑ์สมุนไพร อนุญาตทั้งสิ้น 12 รายการ

- ยาแผนไทย (ยาตำรับ) จำนวน 11 รายการ
- ผลิตภัณฑ์สมุทรไพรเพื่อสุขภาพ (ชาจากใบกัญชา) จำนวน 1 รายการ

3.ผลิตภัณฑ์ยา อนุญาตทั้งสิ้น 15 รายการ 

- น้ำมันกัญชา จำนวน 15 รายการ

4.ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง มีการจดแจ้งทั้งสิ้น 818 รายการ

ผลิตภัณฑ์บำรุงผิว ทำความสะอาดผิว และขัดผิว
- กลุ่มที่ใช้ น้ำมันหรือสารกัดเมล็ดกัญชง จำนวน 619 รายการ     
- กลุ่มที่ใช้ ส่วนของกัญชง จำนวน 19 รายการ 
- กลุ่มที่ใช้ ส่วนของกัญชา จำนวน 65 รายการ
- กลุ่มที่ใช้ สาร CBD จำนวน 115 รายการ

  • ผลิต-จำหน่ายกัญชา กัญชง แบบไหนต้องเสียภาษี

เนื่องจากปัจจุบันยังไม่มีกฎหมายออกมาชัดเจนเกี่ยวกับภาษีกัญชา แต่ตามหลักการภาษีสรรพากร หากมีรายได้จากการจำหน่ายกัญชา กัญชา ทั้งแบบสดและแปรรูป จะต้องเสียภาษีตามลักษณะดังนี้

1.ภาษีเงินได้

1.1 ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา สำหรับผู้ที่ไม่ได้จดทะเบียนบริษัทเป็นนิติบุคคล เมื่อมีรายได้จากการจำหน่ายกัญชา กัญชง จัดอยู่เงินได้พึงประเมินมาตรา 40(8) บุคคลธรรมดาเหล่านี้จะต้องนำรายได้ทั้งหมดมารวมเพื่อคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ซึ่งหากเกิน 150,000 บาท จะต้องเสียภาษีตามอัตราภาษีก้าวหน้าสูงสุด 35% 

1.2 ภาษีเงินได้นิติบุคคล ในกรณีที่เจ้าของธุรกิจกัญชา กัญชง มีการจดทะเบียนบริษัทเป็นนิติบุคคล รายรับจากการจำหน่ายนี้ ให้นำมาคำนวณภาษีเงินได้นิติบุคคล วิธีการคำนวณภาษีคือ (รายได้ – ค่าใช้จ่าย) = กำไรสุทธิ และนำกำไรสุทธิที่ได้มาเปรียบเทียบตารางภาษีเสียสูงสุด 20%  

2.ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT)

กฎหมายได้กำหนดว่า การจำหน่ายพืชผลทางการเกษตรไม่ว่าจะเป็นลำต้น กิ่ง ใบ เปลือกหน่อ ราก เหง้า ดอก หัว ฝัก เมล็ด หรือส่วนอื่นๆ ของพืช และวัตถุพลอยได้จากพืช ที่ได้แปรรูปหรือแปรสภาพเป็นอาหารหรือสินค้าจะไม่ได้รับยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม

รวมถึงการจำหน่ายผลิตภัณฑ์อาหาร ซึ่งเกิดจากการนำพืชผลทางการเกษตรมาปรุงแต่งให้ยังคงลักษณะเป็นพืชผลทางการเกษตรที่อยู่ในสภาพสด หรืออยู่ในลักษณะที่รักษาสภาพไว้เพื่อไม่ให้เสียในระหว่างขนส่ง หรืออยู่ในลักษณะที่รักษาสภาพไว้เพื่อไม่ให้เสียเพื่อการขายปลีกหรือขายส่ง เฉพาะที่บรรจุกระป๋องภาชนะ หรือหีบห่อ ที่ผนึกในลักษณะมั่นคง จะไม่ได้รับยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มเช่นกัน  

แต่ถ้าหากเป็นการจำหน่ายพืชผลทางการเกษตรไม่ว่าจะเป็น ลำต้น กิ่ง ใบ เปลือก หน่อ ราก เหง้า ดอก หัว ฝัก เมล็ด หรือส่วนอื่นๆ ของพืช และวัตถุพลอยได้จากพืช ที่ไม่ได้แปรรูปตามที่กล่าวมาแล้วข้างต้น จะได้รับยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม

-----------------------------------
Source : Inflow Accounting
อ่านบทความน่ารู้เกี่ยวกับภาษีเพิ่มเติม คลิกที่นี่