PCC จ่อขายไอพีโอขยายธุรกิจ รองรับ "6โครงการ" ในอนาคต

PCC จ่อขายไอพีโอขยายธุรกิจ รองรับ  "6โครงการ" ในอนาคต

การเป็นผู้นำใน“ธุรกิจโซลูชั่นครบวงจร”ของ Smart Grid ซึ่งระบบไฟฟ้าในอนาคตจะเปลี่ยนไปมีความหลากหลายมากยิ่งขึ้น มีรถไฟฟ้า (EV) และ สถานีชาร์จ (Charging Station) รวมถึงการลงทุน Solar cell จากบ้านเรือนเพิ่มมากขึ้น

           การเป็นผู้นำใน “ธุรกิจโซลูชั่นครบวงจร” ของ Smart Grid ซึ่งระบบไฟฟ้าในอนาคตจะเปลี่ยนไปมีความหลากหลายมากยิ่งขึ้น มีรถไฟฟ้า(EV)และ สถานีชาร์จ (Charging Station) รวมถึงการลงทุน Solar cell จากบ้านเรือนเพิ่มมากขึ้น ดังนั้น จำเป็นที่ระบบไฟฟ้าย่อมจะต้องมีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นตามไปด้วย และมีสินค้าที่หลากหลาย ครอบคลุมตามต้องการของระบบจำหน่ายกระแสไฟฟ้า

           นั่นคือ สารพัด “จุดเด่น” ของ บริษัท พรีไซซคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ PCC หุ้นไอพีโอน้องใหม่ที่กำลังจะเข้าจะเสนอขายหุ้นสามัญต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวนไม่เกิน 307 ล้านหุ้น ในราคาหุ้นละ 4.00 บาท มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) 1.00 บาท โดยจะเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) วันแรก (เทรด) 21 ต.ค. นี้

           ทั้งนี้ PCC ประกอบธุรกิจโดยการถือหุ้นในบริษัทอื่น (Holding Company) ประกอบด้วยสายธุรกิจหลัก 3 กลุ่มคือ 1. กลุ่มธุรกิจผลิตและจำหน่ายอุปกรณ์ในระบบจำหน่ายไฟฟ้า งานบริหารโครงการ งานบริการ งานบำรุงรักษาระบบไฟฟ้าทั้งแรงต่ำและแรงสูงขนาดไม่เกิน 115 kvและระบบบริหารจัดการพลังงานให้มีประสิทธิภาพ

          2. กลุ่มธุรกิจรับเหมาก่อสร้างสถานีไฟฟ้าแรงสูงและสายส่งไฟฟ้าแรงสูง พร้อมผลิตติดตั้งระบบควบคุมสำหรับระบบไฟฟ้าอัจฉริยะ และผลิตมิเตอร์อัจฉริยะ (Intelligent Grid) และ 3. กลุ่มธุรกิจลงทุนผลิตและจำหน่ายกระแสไฟฟ้าจากพลังงานทดแทน และผลิตเชื้อเพลิงจากพืชพลังงาน (Renewable Energy) และธุรกิจอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องโดยอยู่ระหว่างการศึกษาโครงการพลังงานทดแทนใหม่ๆ เพิ่มเติม

             “กิตติ สัมฤทธิ์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่  PCC ให้สัมภาษณ์ “กรุงเทพธุรกิจ” ว่า การเข้าระดมทุนในตลาดหุ้นครั้งนี้ !! ถือเป็นก้าวสำคัญในการ“ขยายธุรกิจ” เพื่อเพิ่มโอกาสการเติบโตในอนาคตอย่างต่อเนื่อง

         สะท้อนผ่าน “แผนลงทุน 6 โครงการในอนาคต” คือ1.ตั้งศูนย์การขายและการตลาด ซึ่งใช้เป็นสำนักงานขายสำหรับฝ่ายขายและฝ่ายการตลาด และ ยังเป็น point of sale เพื่อขยายยอดขายของกลุ่มบริษัท เนื่องจากบริษัทเพิ่ม scale การผลิตในสินค้าเดิมและขยายสินค้าใหม่ 2.โครงการเพิ่มกำลังผลิตหม้อแปลงไฟฟ้าระบบจำหน่ายโดยที่เพิ่มกำลังผลิต“3 เท่า” หรือคิดเป็นกำลังการผลิตรวมประมาณ 1,080 MVA ต่อปี ภายในปี 2567

       3.โครงการเพิ่มกำลังการผลิตตัวถังหม้อแปลงไฟฟ้าและตู้โลหะสำหรับ ตู้สวิตช์เกียร์ ตู้สวิตช์บอร์ด และตู้อุปกรณ์ควบคุมอื่นๆ 4.ตั้งโรงงานผลิตในประเทศกัมพูชา โดยผลิตสินค้าหม้อแปลงไฟฟ้า หม้อแปลงเครื่องวัด และตู้ควบคุมไฟฟ้าชนิด คาดโรงงานเดินเครื่องในปีหน้า 5.โครงการติดตั้งระบบจัดการพลังงานมีแผนติดตั้งระบบบริหารจัดการพลังงาน เพื่อควบคุมการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ และยังเป็น pilot project เพื่อนำเสนอลูกค้าภายนอกในอนาคต

           และ 6.โครงการธุรกิจไผ่ อำเภอศรีเทพ จังหวัดเพชรบูรณ์ ประกอบด้วย 2 โครงการย่อย 6.1 ตั้งโรงผลิตต้นกล้าไผ่เพื่อพัฒนาต้นกล้าไผ่ ปลูกแม่พันธุ์ และลานอนุบาลต้นกล้าไผ่สายพันธ์ต่างๆ เพื่อขายให้กับผู้สนใจในการปลูกไผ่ เพื่อสนับสนุนอุตสาหกรรมไผ่ในอนาคต 6.2 ผลิตสินค้าบรรจุภัณฑ์ปลอดเคมีจากเยื่อไผ่เพื่อจัดจำหน่ายให้แก่ภัตตาคาร ร้านอาหาร และผู้รับจัดเลี้ยง ตลอดจนการขายผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ (e-commerce platform)

             สำหรับเป้าหมาย 3-5 ปีข้างหน้า (2566-2570) บริษัทจะเน้นการขยายฐานลูกค้าต่างๆและเพิ่มกำลังการผลิตให้เพิ่มมากขึ้น เพื่อรองรับกับความต้องการที่จะเพิ่มสูงขึ้นในอนาคต รวมถึงจะมีการขยายตลาดไปยังต่างประเทศ และจากความสามารถในการแข่งขันและมีศักยภาพของบริษัทที่มีโอกาสสร้างการเติบโตอีกมากในอนาคต รวมถึงผู้บริหารมีวิสัยทัศน์ที่โดดเด่น และมีประสบการณ์ในอุตสาหกรรมระบบไฟฟ้ามานานเกือบ 40 ปี

           ท้ายสุด “กิตติ” บอกไว้ว่า เรามีความมุ่งสู่การเป็นผู้นำในธุรกิจโซลูชั่นครบวงจรของ Smart Grid, อุตสาหกรรม 4.0 ตลอดจนพัฒนาพลังงานทดแทน พลังงานชีวภาพ เพื่อสร้างสมดุลด้านสิ่งแวดล้อม และการอยู่ร่วมกันอย่างยั่งยืน