'ซีพี แอ็กซ์ตร้า' ร่วมขับเคลื่อนประเทศไทยสู่สังคมไร้ขยะอาหาร

'ซีพี แอ็กซ์ตร้า' ร่วมขับเคลื่อนประเทศไทยสู่สังคมไร้ขยะอาหาร

"ซีพี แอ็กซ์ตร้า" ร่วมขับเคลื่อนประเทศไทยสู่สังคมไร้ขยะอาหาร ทำคนเดียวไม่ได้ ผู้ผลิต-ผู้บริโภคต้องร่วมด้วย!

"ซีพี แอ็กซ์ตร้า" ร่วมขับเคลื่อนประเทศไทยสู่สังคมไร้ขยะอาหารวางแนวทางสร้างความยั่งยืน "แม็คโคร" และ "โลตัส" รวมกว่า 2,600 สาขาทั่วประเทศ จัดอินเซนทีฟกระตุ้นคน ซื้ออาหารป้ายเหลือง พร้อมนำนวัตกรรมสีเขียว หนุนลดปัญหาสิ่งแวดล้อม-เศรษฐกิจ-สังคม ย้ำผู้ผลิตและผู้บริโภคมีบทบาทสำคัญ ต้องร่วมด้วยช่วยกัน สู่เป้าหมาย "Zero food waste to landfill" ในปี 2030

ศิริพร เดชสิงห์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายงานความยั่งยืนและสื่อสารองค์กร บริษัท ซีพี แอ็กซ์ตร้า จำกัด (มหาชน) กล่าวในหัวข้อ "Waste Management: A Call to Care for a Cleaner Society" ในงานสัมมนา SUSTAINABILITY FORUM 2026 Shift Forward: Overcoming Challenges ณ สามย่านมิตรทาวน์ฮอลล์ เมื่อวันที่ 3 ธ.ค. ว่า ขยะอาหาร (Food Waste) เป็นเรื่องใหญ่ของประเทศไทยและระดับโลก โลกเรามีขยะมากเป็นพันล้านตันต่อปี และที่น่าตกใจคือ 1 ใน 3 ของพันล้านตันต่อปีนั้นเป็นปริมาณขยะอาหาร เช่น จากอาหารหมดอายุ หรือไม่ถูกนำไปรับประทานบ้าง และที่น่าตกใจยิ่งกว่าคือครึ่งหนึ่งของประชากรกำลังประสบปัญหาความหิวโหย เกิดความไม่สมดุล อาหารยังไม่ถูกกระจายแก่ผู้ที่ต้องการ

'ซีพี แอ็กซ์ตร้า' ร่วมขับเคลื่อนประเทศไทยสู่สังคมไร้ขยะอาหาร

นอกจากนี้ยังเกิดปัญหาสิ่งแวดล้อมตามมา เพราะขยะอาหารสร้าง ก๊าซเรือนกระจก และเกิดปัญหาเศรษฐกิจตามมา เนื่องจากการกำจัดขยะก็ต้องใช้งบประมาณ โดยทางกรุงเทพมหานคร (กทม.) ได้แชร์ข้อมูลว่าต้องใช้งบประมาณในการจัดการขยะทั้งหมดถึง 7,000 ล้านบาทต่อปี ซึ่งเทียบเท่ากับงบประมาณด้านสาธารณสุขและการศึกษารวมกัน แต่จะเป็นเรื่องดีอย่างมากถ้าหากสามารถลดงบประมาณการจัดการขยะ นำไปใช้เรื่องการศึกษาและสาธารณสุขแทน 

"ปัญหา ขยะอาหาร จึงกระทบต่อทั้งสิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจ และสังคม เพราะเรายังเห็นคนที่อดอยาก ยังเห็นปัญหาความมั่นคงทางอาหาร ถือเป็นเรื่องใหญ่ ซีพี แอ็กซ์ตร้า จึงให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มาก อีกอย่างคือเราทราบดีว่าการทำเรื่องความยั่งยืนนั้นสอดคล้องกับแนวทางธุรกิจของ ซีพี แอ็กซ์ตร้า มีสาขาของ แม็คโคร และ โลตัส รวมกว่า 2,600 สาขาทั่วประเทศ โดยธุรกิจของเราหลักๆ คือการขายอาหาร อิมแพ็คที่เราทำเรื่องการจัดการขยะจึงสูงตามมา"

อีกเหตุผลที่ให้ความสำคัญเรื่องขยะอาหาร เป็นเพราะ ซีพี แอ็กซ์ตร้า อยู่ตรงกลางระหว่างผู้ผลิต และผู้บริโภคเชื่อมโยงกับผู้ผลิตทั้งเกษตรกร เอสเอ็มอี จึงเป็นที่มาของการนำนวัตกรรมมาใช้ เปลี่ยนบรรจุภัณฑ์ให้เป็น ถุงหายใจได้ เพราะพวกผักผลไม้ หากใช้บรรจุภัณฑ์ที่ไม่เอื้อต่อการคายน้ำ จะทำให้เน่าเสียเร็ว จึงพัฒนาถุงหายใจได้ให้ผักผลไม้อยู่นานขึ้น นอกจากนี้ยังทำสกินแพ็กให้เนื้อสัตว์อยู่ได้นานจาก 7 วันเป็น 21 วัน โดยเฉพาะเนื้อสัตว์ที่นำเข้าจากต่างประเทศ มีมูลค่าสูง ถ้าหากแพ็กใส่กล่องโฟมธรรมดาแล้วปล่อยให้ออกซิเจนอยู่ข้างในก็มีโอกาสเน่าเสียได้เร็ว ส่วนการขายผลไม้จากเมื่อก่อนขายเป็นหลักกิโลกรัม ก็ได้ปรับให้อยู่ในบรรจุภัณฑ์สำเร็จรูปมากขึ้น

'ซีพี แอ็กซ์ตร้า' ร่วมขับเคลื่อนประเทศไทยสู่สังคมไร้ขยะอาหาร

"โจทย์สำคัญของการบริหารจัดการ ขยะอาหาร ต้องสื่อสารถึงผู้บริโภคด้วย ด้วยการออกมาตรการจูงใจ (อินเซนทีฟ) ว่าการจัดการขยะอาหารเป็นเรื่องที่สร้างประโยชน์แก่ผู้บริโภค กระตุ้นให้เกิดการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม เริ่มตั้งแต่ลดการสร้างขยะอาหาร จูงใจให้คน ซื้ออาหารป้ายเหลือง ว่ายังเป็นของคุณภาพดี มีเชลฟ์ไลฟ์อีก 2-3 วัน และยังได้ส่วนลดถึง 50-60% ถือเป็นอีกกลไกหนึ่งที่ประสบความสำเร็จ ช่วยลดการสร้างขยะได้ตั้งแต่ต้นทางการขาย ขณะเดียวกันซัพพลายเออร์ต้องร่วมมือกับเราด้วย นอกเหนือจาก ถุงหายใจ ได้และสกินแพ็กที่ช่วยชะลอการเน่าเสียของอาหารแล้ว ก็ต้องลดระยะเวลาการขนส่งด้วย ทั้งหมดนี้เป็นกลไกสำคัญเพื่อสร้างการตระหนักรู้ตั้งแต่ต้นทาง"

หลังผ่านขั้นตอนการจัดการลดขยะอาหารมาแล้ว ทาง ซีพี แอ็กซ์ตร้า ก็จะนำขยะอาหารที่มีทั้งหมดไปเป็นอาหารมอบแก่ศูนย์ดูแลสัตว์ของกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ซึ่งดูแลสัตว์ป่าบางส่วนที่ไม่สามารถกลับไปหากินตามธรรมชาติได้แล้ว นอกจากนี้ยังมีการทำนวัตกรรมสีเขียว โดยการนำขยะอาหารไปเลี้ยงแมลงโปรตีน BSF ซึ่งเป็นแมลงที่กินผักผลไม้ โดยแมลงที่มีโปรตีนสูงเหล่านี้สามารถนำไปใช้ได้แทนปลาป่นในอุตสาหกรรมอาหารสัตว์ และสามารถนำไปเป็นอาหารสัตว์เลี้ยง ช่วยเกษตรกรลดค่าใช้จ่ายอาหารสัตว์ได้อีกด้วย เพื่อให้สุดท้ายแล้วเกิด "เศรษฐกิจหมุนเวียน" จากการนำอาหารส่วนเกินเหล่านี้ไปใช้ประโยชน์ให้ได้มากที่สุด

"เป้าหมายของ ซีพี แอ็กซ์ตร้า คือการเดินหน้าสู่ Zero food waste to landfill 2030 ต้องเห็นการลดขยะอาหารอย่างชัดเจน และเรื่องนี้ทำคนเดียวไม่ได้ ผู้ผลิตและผู้บริโภคต้องช่วยเราด้วย"