'ทราย–สก๊อต' ใช้เสียงและความกล้า จุดไฟให้สังคมลุกขึ้นสู้เพื่อสิ่งแวดล้อม

สิรณัฐ สก๊อต หรือ "ทราย"กระตุ้นให้คนรุ่นใหม่ใช้ "เสียง" ของตนเองต่อสู้กับความไม่ยุติธรรมต่อสิ่งแวดล้อม และได้ก่อตั้งมูลนิธิ Sea You Strong เพื่อเป็นตัวกลางในการทำงานด้านอนุรักษ์
KEY
POINTS
- สิรณัฐ สก๊อต หรือ "ทราย" เป็นนักอนุรักษ์รุ่นใหม่ที่รู้จักในฉายา "อควาแมนเมืองไทย" จากการว่ายน้ำข้ามทะเลเพื่อปลุกกระแสการอนุรักษ์
- กระตุ้นให้คนรุ่นใหม่ใช้ "เสียง" ของตนเองต่อสู้กับความไม่ยุติธรรมต่อสิ่งแวดล้อม และได้ก่อตั้งมูลนิธิ Sea You Strong เพื่อเป็นตัวกลางในการทำงานด้านอนุรักษ์
- มูลนิธิฯ มีโครงการ "เสื้อผู้พิทักษ์" เพื่อนำรายได้ไปซื้อประกันชีวิตให้กับเจ้าหน้าที่อุทยานที่ปฏิบัติงานเสี่ยงภัย
- ชี้ว่าระบบการศึกษาไทยยังขาดการสอนเรื่องสิ่งแวดล้อมอย่างจริงจัง และเสนอให้ภาครัฐดึงคนรุ่นใหม่เข้ามามีส่วนร่วมในบทบาทที่หลากหลายขึ้น
"สิรณัฐ สก๊อต" หรือที่รู้จักกันในชื่อ “ทราย” คือคนรุ่นใหม่ที่มีบทบาทในการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม และเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง สิ่งที่ทำให้ทรายโดดเด่น ไม่ได้อยู่ที่การเป็นสายเลือดของครอบครัวธุรกิจใหญ่ แต่เป็นหัวใจที่เต็มไปด้วยความมุ่งมั่นเพื่ออนาคตของธรรมชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งท้องทะเลไทย
คนรู้จัก “ทราย” มากขึ้นในปี 2565 และได้รับสมญานามว่า “อควาแมนเมืองไทย” หลังว่ายน้ำเดี่ยวข้ามทะเลในจังหวัดกระบี่ ระยะทาง 30 กิโลเมตร เพื่อปลุกกระแสอนุรักษ์ทางทะเลในระดับประเทศ
"ทราย" ให้สัมภาษณ์กับ 'กรุงเทพธุรกิจ' ว่า หัวใจสำคัญของคนรุ่นใหม่ในการช่วยสิ่งแวดล้อมคือการ “ใช้เสียงของตัวเองให้เต็มที่” เพราะภัยคุกคามต่อธรรมชาติส่วนใหญ่มักเกิดจากความเพิกเฉยของผู้คนเมื่อเห็นความไม่ยุติธรรม
“นี่คือสิ่งที่ผมพยายามทำในงานของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นการตักเตือนผู้กระทำผิด หรือส่งหลักฐานให้เจ้าหน้าที่ดำเนินการปรับ เพราะผมเชื่อว่านี่คือหน้าที่สำคัญที่สุดของคนรุ่นใหม่
“ทราย” ยังได้ก่อตั้งมูลนิธิ Sea You Strong โดยมีแนวคิดทำหน้าที่เป็นกลไกที่สร้างสมดุลระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน
“ผมยอมรับว่าหน่วยงานรัฐสามารถทำงานได้ แต่มีขอบเขตและข้อจำกัดในระบบที่ไม่สามารถอำนวยต่อการอนุรักษ์ได้อย่างเต็มที่ เนื่องจากต้องจัดการงานราชการหลายส่วน ขณะที่ภาคเอกชนก็เน้นหนักไปที่การทำธุรกิจมากเกินไป ดังนั้น Sea You Strong จึงเข้ามาช่วยในการทำงาน ที่สามารถเน้นเรื่องของผลประโยชน์ส่วนรวมได้อย่างแท้จริง และยังสามารถร่วมงานจากภาคเอกชนและภาครัฐได้ด้วย”
ภารกิจล่าสุดของมูลนิธิฯ คือ โครงการเสื้อผู้พิทักษ์ ที่สนับสนุนนักศิลปะไทยรุ่นใหม่ออกแบบเสื้อ และเสื้อทุกตัวที่ขายรวมถึงยอดบริจาค นำไปซื้อประกันชีวิตให้กับเจ้าหน้าที่อุทยาน โดยเมื่อต้นเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา มูลนิธิฯ ได้ซื้อประกันภัยรอบแรกให้กับเจ้าหน้าอุทยานแห่งชาติธารโบกขรณี จังหวัดกระบี่ แล้ว 7 คน ที่เป็นพนักงานรายวันและรายเดือน ที่ทำงานในอาชีพเสี่ยง เช่น การดำน้ำ การเป็นไลฟ์การ์ดช่วยชีวิตคนหน้าหาด การขับเรือ หรือการซ่อมเรือ
ในประเด็นการศึกษา “ทราย” แสดงความเห็นต่อความพร้อมของประเทศไทยในการรับมือกับความท้าทายด้านสิ่งแวดล้อมอย่างตรงไปตรงมาว่า ประเทศไทยยังไม่พร้อม เหตุผลหลักคือระบบการศึกษาของไทยยังไม่ได้มีการสอนเรื่องสิ่งแวดล้อมอย่างจริงจังมากพอ และที่สำคัญกว่านั้นคือ หลายๆ อย่างที่ควรมีการบังคับใช้จริงจัง เช่น คนที่มีอำนาจบังคับใช้กฎหมายและคนที่มีธุรกิจส่วนเกี่ยวข้อง ยังไม่ใช้ความรู้ในมือให้เป็นประโยชน์ต่อสาธารณชนอย่างเต็มที่”
เพื่อสนับสนุนให้คนรุ่นใหม่เข้ามามีส่วนร่วมกับความยั่งยืนมากขึ้น ภาครัฐและองค์กรควรปรับเปลี่ยนวิธีการทำงาน “ทราย” เสนอว่า ควรดึงคนรุ่นใหม่เข้ามาร่วมทำงานด้วยให้มากขึ้นในรูปแบบที่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ข้าราชการเท่านั้น แต่ควรมีตำแหน่งอื่นๆ เช่น คนช่วยสื่อสาร เป็นอินฟลูเอนเซอร์ หรือเป็นนักศิลปะ ซึ่งบทบาทเหล่านี้จะช่วยสร้างเสน่ห์ให้กับพื้นที่ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้เป็นอย่างมาก
นอกเหนือจากการทำงานด้านอนุรักษ์แล้ว “ทราย” ยังให้ความสำคัญกับการเลือกใช้ชีวิตประจำวันเพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอย่างเข้มงวด
“ผมไม่ใช้หลอดพลาสติก และไม่ใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีสารเคมีในการล้างหน้าหรือแชมพูสระผม เพราะเมื่อสิ่งเหล่านี้ถูกล้างลงท่อแล้ว มันจะลงสู่แม่น้ำและทะเลโดยตรง เนื่องจากระบบการจัดการน้ำเสียของไทยยังไม่ดีพอ”
“ทราย” ยังให้ความสำคัญกับจริยธรรมของธุรกิจ โดยเลือกที่จะไม่ซื้อสินค้าจากแบรนด์ที่ใช้แรงงานเด็ก รวมถึงหลีกเลี่ยงการซื้อหรือใช้สิ่งของจากบริษัทที่ไม่มีความโปร่งใส
สำหรับคนรุ่นใหม่ที่ต้องการมีบทบาทและเสียงในสังคมเรื่องการอนุรักษ์ “ทราย” แนะนำให้เริ่มต้นจากตัวเอง
“หากพวกเขาเจอความไม่ยุติธรรมใดๆ ในชีวิต ควรใช้เสียงของตัวเองและเรียกร้องความยุติธรรม เพราะการทำเช่นนี้จะช่วยสอนให้มีความเข้มแข็ง ในการเรียกร้องเพื่อสิ่งอื่นๆ ในชีวิตและเพื่อสังคมต่อไป”







