UN ส่งสัญญาณแรง ไทยต้องเร่ง SDGs—โกลบอลคอมแพ็กเปิด 5 เทรนด์ธุรกิจยุคยั่งยืน

“ยูเอ็น” ชี้โลกเข้าภาวะฉุกเฉินด้านการพัฒนา เตือนไทยสปีด SDGs ก่อนหมดเวลา 5 ปี ระบุไทยต้องการทุนดัน SDGs เพิ่มเป็นปีละ 1.4 ล้านล้าน แนะเอกชนเป็นกลไกหลักดันความยั่งยืน หนุนไทยเป็นสมาชิก OECD ปรับมาตรฐานประเทศ สมาคมเครือข่ายโกลบอลคอมแพ็กฯ เผย 5 เทรนด์ความยั่งยืนเปลี่ยนอนาคตธุรกิจ
KEY
POINTS
- สหประชาชาติ (UN) ส่งสัญญาณเตือนว่าไทยมีความคืบหน้าด้านเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) ล่าช้า แม้จะได้รับการจัดอันดับเป็นที่ 1 ในอาเซียนก็ตาม โดยชี้ว่าโลกกำลังเข้าสู่ "ภาวะฉุกเฉินด้านการพัฒนา"
- ไทยต้องการเงินทุนเพื่อขับเคลื่อน SDGs เพิ่มขึ้นเป็นปีละ 1.4 ล้านล้านบาท โดย UN เน้นย้ำบทบาทของภาคเอกชนและเสนอ 3 แนวทางเร่งด่วน คือ ปลดล็อกการเงินที่ยั่งยืน, ลงทุนเปลี่ยนผ่านพลังงาน และสร้างพันธมิตร
- เครือข่ายโกลบอลคอมแพ็กแห่งประเทศไทย (UNGCNT) เปิดเผย 5 เทรนด์ธุรกิจเพื่อความยั่งยืนที่ทั่วโลกต้องมุ่งเน้นในช่วงปี 2026-2030 ได้แก่ ความเท่าเทียมทางเพศ, การรับมือสภาพภูมิอากาศ, ค่าจ้างที่เป็นธรรม, การฟื้นฟูแหล่งน้ำ และการเงินที่ยั่งยืน
- เทรนด์ความยั่งยืนทั้ง 5 กำลังกลายเป็นมาตรฐานใหม่ที่ธุรกิจต้องปรับตัวตามเพื่อเข้าสู่ห่วงโซ่อุปทานระดับโลก โดยเฉพาะการส่งออกไปยังตลาดยุโรปและต่างประเทศ
ในงาน SUSTAINABILITY FORUM 2026 จัดโดยกรุงเทพธุรกิจ ระหว่างวันที่ 3-4 ธ.ค. 2568 ภายใต้หัวข้อ “Shift Forward: Overcoming Challenges” ที่สามย่านมิตรทาวน์ ในวันที่สองของงานมีการส่งสัญญาณเตือนแรงว่าโลกกำลังเข้าสู่ “ภาวะฉุกเฉินด้านการพัฒนา” ขณะไทยยังเผชิญความเสียหายจากภัยพิบัติถี่ขึ้น
“นีฟ คอลิเออร์-สมิธ” ผู้ประสานงานสหประชาชาติ (UN) ประจำประเทศไทย ชั่วคราว และ ผู้แทนโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (UNDP) ประจำประเทศไทย กล่าวในหัวข้อ Go Together for the Sustainability Goals ว่า ไทยทำได้ดีหลายด้าน แต่ SDGs ยังเดินหน้าล่าช้า พร้อมย้ำบทบาทภาคเอกชนที่มีบทบาท 75% ของการลงทุนประเทศคือกุญแจเร่งความคืบหน้า และย้ำว่าการเปลี่ยนผ่านพลังงานจะสร้างงานใหม่มหาศาล แต่ไทยต้องอุดช่องว่างทักษะ และรับมือมาตรฐานโลกที่เข้มขึ้น
ทั้งนี้ หลายคนอาจมองเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) เป็นเรื่องไกลตัว หรือเป็นภาระแต่ SDGs คือ แผนงานที่จะพาไปสู่ความยืดหยุ่น ความเจริญรุ่งเรือง อากาศที่สะอาดขึ้น ชุมชนปลอดภัยขึ้น อุตสาหกรรมแข่งขันได้มากขึ้น และอนาคตที่ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง
“เราจะและไม่บรรลุ SDGs ทั้ง 17 ข้อได้ภายในเวลาอีกเพียง 5 ปีข้างหน้า หากเราไม่ก้าวไปด้วยกัน”
สหประชาชาติเตือนว่าโลกกำลังเข้าสู่ “ภาวะฉุกเฉินด้านการพัฒนา” โดยเกือบครึ่งของเป้าหมาย SDGs ทั้งหมดคืบหน้าช้ากว่าที่ควร และอีก 18% กำลังถอยหลัง ขณะเดียวกันปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศรุนแรงขึ้น ความตึงเครียดภูมิรัฐศาสตร์ซับซ้อน และความเหลื่อมล้ำยังอยู่ แม้หลายด้านคืบหน้าแต่ยังไม่เพียงพอ โดยเฉพาะเมื่อเหลือเวลาไม่ถึง 5 ปี ก่อนปี 2030
อย่างไรก็ตาม “นีฟ” ระบุว่า ไทยเป็นตัวอย่างสำคัญที่สะท้อนว่าความเจริญรุ่งเรืองสามารถเดินคู่กับความยั่งยืนได้ โดยมีหลักคิดสำคัญอย่าง “ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง” (SEP) และแนวทางเศรษฐกิจ “BCG” เศรษฐกิจชีวภาพ หมุนเวียน และสีเขียว เป็นเข็มทิศนำทาง
ทั้งนี้ ไทยถูกจัดอันดับที่ 43 ของโลกในด้านความก้าวหน้า SDGs และเป็นอันดับ 1 ในอาเซียนติดต่อกันเป็นปีที่ 7 ภายในหนึ่งชั่วอายุคนประเทศไทยลดสัดส่วนประชากรที่ยากจนลงได้เกือบ 85% ขณะที่ระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าครอบคลุมเกือบทุกคน
ส่วนความก้าวหน้าอื่นของไทยที่สำคัญ ได้แก่ การจดทะเบียนรถยนต์ไฟฟ้าเพิ่มถึง 684% ในปี 2023 ช่วยลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ 344,000 ตัน หรือเทียบเท่ากับการนำรถยนต์ที่ใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล 75,000 คัน ออกจากถนน
นอกจากนี้ ไทยผู้บุกเบิก sustainability-linked bonds เป็นแห่งแรกในเอเชีย และล่าสุดเป็นประเทศแรกในอาเซียนที่รับรองสมรสเท่าเทียมสะท้อนความมุ่งมั่นต่อศักดิ์ศรีและความเท่าเทียมของมนุษย์ โดยเป็นผลจากการทำงานร่วมกันระหว่างรัฐบาล ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม สถาบันการศึกษา และชุมชน
ชี้ไทยต้องการทุนดัน SDGs เป็นปีละ 1.4 ล้านล้าน
“นีฟ” ย้ำว่า แม้จะคืบหน้าแต่ต้องไปให้เร็วขึ้นและเสนอ 3 ขั้นตอน ที่ทุกภาคส่วนทำได้ทันที ดังนี้ 1.ปลดล็อกการเงินที่ยั่งยืน 2.การลงทุนเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานที่ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง และ 3.การสร้างความไว้วางใจและพันธมิตรเพื่อการเปลี่ยนแปลงเชิงระบบ
“ทั่วโลกมีเงินไม่พอสำหรับขับเคลื่อนการพัฒนายั่งยืน ขณะที่ไทยต้องใช้เงินทำ SDGs มากขึ้นจาก 1.27 ล้านล้านบาท เป็น 1.4 ล้านล้านบาทต่อปี แม้เป็นภาระหนักขึ้นแต่เป็นโอกาส เพราะเอกชนมีเงินทุนมากกว่าเดินหน้าเร็วกว่า และคิดวิธีใหม่ได้มากกว่าแหล่งทุนเดิม”
ทั้งนี้ บริษัทไทยหลายแห่งเป็นสมาชิกเครือข่ายข้อตกลงโลกแห่งสหประชาชาติ (UN Global Compact Network Thailand) ได้แสดงบทบาท เช่น การเร่งบรรลุ SDGs ด้วยเงินทุน 46,000 ล้านดอลลาร์ และตั้งเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี 2050
อย่างไรก็ตาม ความพยายามเหล่านี้ยังจำเป็นต้องขยายผลในวงกว้างและขับเคลื่อนให้เร็วขึ้น เพื่อให้ตอบโจทย์ความท้าทายด้านความยั่งยืนที่กำลังเร่งตัวในทศวรรษนี้
หนุนไทยเข้าเป็นสมาชิก “โออีซีดี”
“นีฟ” กล่าวว่า การสร้างความไว้วางใจและการเป็นพันธมิตรคือหัวใจของการเปลี่ยนแปลงเชิงระบบ เพราะความร่วมมือจะช่วยสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการระดมเงินทุนและขยายผลกระทบในวงกว้าง การที่รัฐบาลไทยประกาศเป้าหมายวางตำแหน่งประเทศสู่การเป็นสมาชิกองค์การเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ (OECD)
ดังนั้น จึงเป็นสัญญาณสำคัญของการยกระดับมาตรฐานสากล ทั้งด้านการดำเนินการด้านสภาพภูมิอากาศ การแข่งขันที่เป็นธรรม ธรรมาภิบาล และการทำธุรกิจอย่างรับผิดชอบ ซึ่งกำลังกลายเป็นกลยุทธ์การแข่งขันรูปแบบใหม่ ที่ธุรกิจทุกขนาดต้องมีบทบาทร่วมสร้าง
5 เทรนด์ความยั่งยืนเปลี่ยนอนาคตธุรกิจ
ขณะที่รอบการเสวนาหัวข้อ “ Panel Discussion: Everyday Actions for a Sustainable Future” มีการนำเสนอ 5 เทรนด์ความยั่งยืนที่กำลังเปลี่ยนอนาคตธุรกิจ
“ดร.ธันยพร กริชติทายาวุธ” ผู้อำนวยการสมาคมเครือข่ายโกลบอลคอมแพ็กแห่งประเทศไทย (UNGCNT) กล่าวว่า เทรนด์ Sustainability เริ่มต้นจากกรอบการทำงาน ESG ที่ประเมินความเสี่ยงด้านการเงินการลงทุน โดยเป็นเครื่องมือประเมินความเสี่ยงว่าผลกระทบเชิงลบต่อสิ่งแวดล้อมและสังคมมีผลต่อการลงทุนหรือไม่ แต่ไม่ใช่เพื่อพิสูจน์ความยั่งยืนองค์กรในเรื่อง Sustainability
ดร.ธันยพร กล่าวว่า กระบวนการผลิตให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้นอาจทำให้การปล่อยมลพิษต่อหน่วยผลิตภัณฑ์ลดลง ซึ่งเป็นเรื่องที่ดี แต่ขณะเดียวกัน หากบริษัทขยายกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นเพื่อทำกำไร ปริมาณมลพิษโดยรวมที่ปล่อยสู่ชั้นบรรยากาศจะเพิ่มขึ้น
ฉะนั้นความเสี่ยงของ Greenwashing ที่บริษัทอาจเลือกนำเสนอเฉพาะข้อมูลด้านดีที่ทำให้ภาพลักษณ์ดูเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม แต่ไม่เปิดเผยผลกระทบสุทธิจริง ความยั่งยืนจึงต้องมองลึกลงไปกว่าตัวชี้วัดผิวเผิน และให้ความสำคัญกับผลกระทบที่เกิดขึ้นจริง
“บริษัททำเรื่องความยั่งยืนแบบต่างคนต่างทำ ต้องสิ้นสุดลง เพราะการทำงานแบบนั้นไม่มีทิศทาง และไม่สามารถสร้างพลังที่มากพอ ที่สำคัญการทำเรื่องความยั่งยืนไม่ได้อยู่ที่รายได้ แต่อยู่ที่นิยามของสังคม” ดร.ธันยพร กล่าว
5 เป้าหมายหลักในปี 2026-2030
นอกจากนี้ UN Global Compact กำหนดทิศทางผ่านโครงการ Forward Faster เพื่อให้ธุรกิจทั่วโลกมุ่ง 5 เป้าหมายหลักที่มีผลกระทบสูงสุดช่วงปี 2026-2030 ได้แก่
Gender Equality (การเท่าเทียมทางเพศ), Climate Action / Low Carbon (การรับมือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ), Living Wage (การจ่ายค่าตอบแทนที่เป็นธรรมและเพียงพอต่อการดำรงชีพ), Water Resilience (การฟื้นคืนความสมบูรณ์ของแหล่งน้ำ) และ Sustainable Finance & Investment (การเงินและการลงทุนที่ยั่งยืน)
สำหรับทิศทางทั้ง 5 กำลังเป็นมาตรฐานที่ไม่ได้เขียนเป็นลายลักษณ์อักษรสำหรับธุรกิจที่ต้องการเข้าไปอยู่ในห่วงโซ่อุปทานระดับโลก หากธุรกิจต้องการส่งออกสินค้าไปยังตลาดยุโรปหรือตลาดต่างประเทศ ต้องดำเนินการแนวทางดังกล่าว
ความยั่งยืนที่แท้จริง เริ่มต้นที่ ‘สุขภาพ’
“ศศินิภา ชูเชิด จุละจาริตต์” Corporate Director of Sustainability and Compliance ชีวาศรม กล่าวว่า ความยั่งยืนเป็นการสร้างสมดุลระหว่างการดูแลผู้คน (People) สิ่งแวดล้อม (Environment) และสังคม (Society) โดยจุดเริ่มต้นสำคัญอยู่ที่สุขภาวะส่วนบุคคล เพราะสุขภาพกายและใจที่ดีเชื่อมโยงโดยตรงกับสุขภาพของโลก
ทั้งนี้ ความยั่งยืนมิติสังคมไม่จำกัดแค่กิจกรรมเพื่อสังคม (CSR) แต่ต้องผสานธุรกิจเป็นส่วนหนึ่งของชุมชน ซึ่งชีวาศรมทำงานร่วมกับชุมชนสร้างอาชีพสร้างรายได้ ส่งทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญไปพื้นที่ห่างไกล หรือติดตั้งโซลาร์เซลล์ให้โรงเรียนพื้นที่ห่างไกล
"ชีวาศรมจะนำระบบและกรอบการทำงานที่ชัดเจนมาปรับใช้ เพราะมีความต้องจากภาคส่วนต่างๆ ทั้งผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ลูกค้า และบริษัททัวร์ ที่เริ่มถามหา Certification ที่เป็นมาตรฐานสากลมากขึ้น ซึ่งชีวาศรมเพิ่งผ่านการรับรองมาตรฐาน Travelife แต่ธุรกิจต้องพิสูจน์ความยั่งยืนของตนเองผ่านตัวเลขและมาตรฐานที่เป็นที่ยอมรับในระดับโลก” ศศินิภา กล่าว
ผู้นำเป็นหลัก ขับเคลื่อนความยั่งยืน
“ชยาธร ฉันท์เรืองวณิชย์” หัวหน้าส่วนงานความยั่งยืนและ ESG บริษัท PwC ประเทศไทย กล่าวว่า การที่องค์กรจะขับเคลื่อนความยั่งยืนไปทิศทางใดขึ้นกับวิสัยทัศน์ผู้นำ หรือ “Tone at the Top” มองได้ 2 มุม คือ 1.ความยั่งยืนเป็นเพียงเช็กลิสต์ที่ต้องทำให้ครบ 2.หัวใจกลยุทธ์ในการสร้างมูลค่าให้ธุรกิจระยะยาว เพราะผู้นำจะมองความยั่งยืนเป็นเพียงเช็กลิสต์ หรือมองเป็นการสร้าง value ให้ธุรกิจ
“แหล่งปล่อยก๊าซเรือนกระจกใหญ่สุดของบริษัทไม่มาจากการใช้พลังงานในสำนักงาน แต่มาจากกิจกรรมหลัก คือ Business Travel หรือการเดินทางเพื่อธุรกิจ ซึ่ง PWC เริ่มแคมเปญ Everyday Action เพื่อสร้างการมีส่วนร่วมของพนักงาน เช่น รณรงค์ให้ลดคาร์บอนจากการเดินทางมาทำงานผ่านการแข่งขันเดินทางด้วยรถไฟฟ้า (BTS) เพื่อดูว่าใครลดปล่อยคาร์บอนได้มากที่สุด”







