มองน้ำท่วมหาดใหญ่จากหลายมิติ | บ้านเขาเมืองเรา

มองน้ำท่วมหาดใหญ่จากหลายมิติ | บ้านเขาเมืองเรา

ณ วันนี้คงเป็นที่รับทราบกันอย่างกว้างขวางแล้วว่า สาเหตุพื้นฐานของวิกฤติการณ์น้ำท่วมหาดใหญ่ ได้แก่ การสร้างเมืองขึ้นบนพื้นที่ซึ่งเป็นเสมือนก้นกระทะ

ในภาวะที่มีฝนตกแบบปกติ น้ำไม่ท่วมเมืองเนื่องจากมีช่องทางระบายอย่างเพียงพอ เมื่อฝนตกหนักแบบเทน้ำลงมาเป็นเวลานานทั้งในตัวเมืองและพื้นที่รอบด้าน ระบบการระบายน้ำจึงไม่พอ

นอกจากจะระดมช่วยผู้ได้รับผลกระทบแล้ว ยังมีการพูดถึงประเด็นเกี่ยวกับการป้องกันมิให้วิกฤติเช่นเดียวกันเกิดขึ้นอีกด้วย ในบรรดาวิธีแก้ปัญหา ดูจะไม่มีการเสนอให้ใช้วิธีกำจัดปัจจัยพื้นฐาน นั่นคือ ย้ายเมืองออกไปตั้งยังพื้นที่ใหม่ซึ่งไม่มีปัจจัยที่จะทำให้วิกฤติเกิดได้อีก

ถมที่ให้สูงขึ้นจนไม่มีลักษณะเป็นกระทะอีกต่อไป หรือทำให้ฝนไม่ตกหนักแบบเทน้ำติดต่อกันเป็นเวลานาน เพราะคงเกินความสามารถของเราในขณะนี้ การป้องกันจึงเป็นวิธีเดียวที่พูดถึง

เนื่องจากการป้องกันเคยทำมาแล้ว หากทำในแนวเดิมอีกอาจเข้าหลักการมองของอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ ซึ่งไม่น่าจะได้ผลนัก ตามตำนานที่เล่าต่อ ๆ กันมา เขากล่าวไว้ว่า “มีแต่คนบ้าเท่านั้นที่จะทำสิ่งเดิมซ้ำ ๆ แต่กลับหวังผลลัพธ์ที่แตกต่าง”

นอกจากหลักของไอน์สไตน์แล้ว ยังมีข้อมูลที่น่าจะนำมาพิจารณาด้วย นั่นคือ ต่อไปโลกจะร้อนขึ้นเกินกว่า 1.5 องศาเซลเซียสแน่นอน ทั้งนี้เพราะมาตรการป้องกันที่ชาวโลกตกลงกันไว้เมื่อหลายปีก่อนจะไม่ได้รับการสนับสนุนจากผู้ปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างเพียงพอ 

หากดูจากผลการประชุมขององค์การสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงทางภูมิอากาศเมื่อสัปดาห์ก่อน (COP30) การประชุมครั้งนี้ สหรัฐซึ่งเป็นหนึ่งในสามประเทศที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากที่สุดไม่ให้ความสำคัญ จึงไม่เข้าร่วม เมื่ออุณหภูมิโลกร้อนขึ้นอีก อาจคาดเดาได้ว่าโอกาสที่ฝนจะตกแบบที่อ้างถึงจะเกิดบ่อยขึ้น

จากหาดใหญ่ หากมองขึ้นไปถึง กทม. ภาพที่น่าสยดสยองกว่าน่าจะปรากฏเนื่องจาก กทม. ตั้งอยู่บนพื้นที่ราบปริ่มน้ำทะเลที่จะสูงขึ้นจากภาวะโลกร้อนและมีประชากรมากและแออัดกว่าหาดใหญ่

น้ำท่วมเมื่อปี 2554 เป็นเพียงการเตือนเท่านั้น มีรายงานว่า ผู้ว่าราชการ กทม. ได้เริ่มศึกษาปัญหาที่จะเกิดขึ้นในแนวเดียวกันกับหาดใหญ่พร้อมกับหาทางป้องกันแล้ว หนึ่งในทางป้องกันคงไม่รวมการย้ายเมืองหลวงตามแนวที่มีผู้เสนอหลายครั้งย้อนไปถึงในสมัยจอมพล ป. พิบูลสงคราม

จะทำอย่างไรก็ตาม หากไม่เปลี่ยนฐานของการคิด ประสิทธิผลจะไม่เกิด หากพิจารณาข้อความที่คุณ “ในน้ำคำ มาจน” จากหมู่บ้านราชธานีอโศกโพสต์ไว้ในสื่อสังคมเฟซบุ๊กเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมาว่า

“พัฒนาบ้านเมืองให้เจริญมากแค่ไหน ก็ยิ่งทุกข์ ยิ่งเสื่อมมาก ถ้าไม่ถอยหลังกลับมาหา “เศรษฐกิจพอเพียง” ที่เป็นทางรอดของมนุษยชาติ”

ฐานของการพูดคำนี้มีความลุ่มลึกมากเนื่องจากแม้จะย้ายเมืองได้ ถมที่ได้ หรือสร้างมาตรการป้องกันน้ำท่วมได้ ผลจะไม่ยั่งยืนเนื่องจากตัวขับเคลื่อนเบื้องต้นที่แท้จริงของปัญหาได้แก่ ความไม่รู้จักพอของมนุษย์ เราสร้างทุกอย่างแบบตระการตาในนามของการพัฒนาและสร้างความร่ำรวยเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

เพราะเราหวังว่ามันจะทำให้เราบรรลุเป้าหมายของชีวิต นั่นคือ ความสุข แต่เป็นที่ประจักษ์อย่างแจ้งชัดว่าความสุขที่แท้จริงไม่ได้มาจากวัตถุที่เรามีเกินความจำเป็น หากมาจากความพึงพอใจเมื่อมีสิ่งที่สนองความจำเป็นครบถ้วนแล้ว

ในช่วงเวลาที่พ่อหลวง ร. 9 ยังทรงดำรงพระชนม์อยู่ แนวคิดนี้เป็นที่อ้างถึงกันอย่างกว้างขวางรวมทั้งในวงราชการเนื่องจากพระองค์ทรงนำมาเสนอให้เป็นทางออกของคนไทยหลังเกิดวิกฤติ “ต้มยำกุ้ง” เมื่อ พ.ศ. 2540

หลังพระองค์ทรงจากไปเพียง 9 ปี ดูจะมีผู้อ้างถึงพร้อมนำไปปฏิบัติเพียงจำกัด โดยเฉพาะในวงราชการที่เคยใช้งบประมาณทำโครงการสารพัดในนามของเศรษฐกิจพอเพียง 

ณ วันนี้ย่อมเป็นที่ประจักษ์แล้วว่าโครงการเหล่านั้นผลาญงบประมาณเพื่อ “การขึ้นป้ายถ่ายรูป” ของผู้ไม่รู้เนื้อหา ไม่ศรัทธา ไม่จริงใจ สอพลอและหลอกลวงเท่านั้น สำหรับผู้ที่ติดตามคอลัมน์นี้ ขอเรียนว่าควรเริ่มหาทางหนีทีไล่ไว้ให้เพียงพอสำหรับรับวิกฤติน้ำท่วมที่จะมาถึง