UN ชี้โลกเข้าสู่ 'ภาวะฉุกเฉินด้านการพัฒนา' เตือนไทยสปีด SDGs ก่อนหมดเวลา 5 ปี

สหประชาชาติ (UN) ประกาศว่าโลกกำลังเข้าสู่ภาวะฉุกเฉินด้านการพัฒนา เนื่องจากความคืบหน้าของเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) เกือบครึ่งหนึ่งล่าช้ากว่าที่ควร และบางส่วนกำลังถอยหลัง
KEY
POINTS
- สหประชาชาติ (UN) ประกาศว่าโลกกำลังเข้าสู่ "ภาวะฉุกเฉินด้านการพัฒนา" เนื่องจากความคืบหน้าของเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) เกือบครึ่งหนึ่งล่าช้ากว่าที่ควร และบางส่วนกำลังถอยหลัง
- UN เตือนให้ประเทศไทยเร่งความเร็วในการดำเนินการตามเป้าหมาย SDGs เนื่องจากเหลือเวลาอีกเพียง 5 ปีก่อนถึงกำหนดเส้นตายในปี 2030
- แม้ไทยจะเป็นผู้นำด้าน SDGs ในอาเซียน 7 ปีซ้อน แต่ยังคงต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน โดยเฉพาะการปลดล็อกการเงินที่ยั่งยืน และการลงทุนในการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานที่เป็นธรรม
วันที่สองของงาน Sustainability Forum 2026 ซึ่งจัดโดย กรุงเทพธุรกิจ ระหว่างวันที่ 3-4 ธันวาคม 2568 ภายใต้ธีม “Shift Forward: Overcoming Challenges” ที่สามย่านมิตรทาวน์ เปิดเวทีด้วย ปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ “Go Together for the Sustainability Goals” โดย "นีฟ คอลิเออร์-สมิธ" ผู้ประสานงานสหประชาชาติ (UN) ประจำประเทศไทย ชั่วคราว และ ผู้แทนโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (UNDP) ประจำประเทศไทย เน้นย้ำว่าความร่วมมือคือ พลังขับเคลื่อนสำคัญในการพาประเทศ และโลกฝ่าความท้าทายด้านความยั่งยืน ทั้งในมิติสิ่งแวดล้อม สังคม และเศรษฐกิจ พร้อมเสนอแนวทางที่ทุกภาคส่วนต้องเร่งเดินหน้าไปด้วยกันอย่างจริงจัง และเป็นรูปธรรม
"นีฟ" เริ่มต้นด้วยการแสดงความเสียใจ และความห่วงใยต่อผู้ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยรุนแรงในหลายพื้นที่ของประเทศไทย รวมถึงประเทศเพื่อนบ้านอย่างศรีลังกา อินโดนีเซีย และมาเลเซีย พร้อมย้ำว่าสหประชาชาติพร้อมสนับสนุนการตอบสนองของรัฐบาลในการรับมือ และฟื้นฟูผลกระทบจากภัยพิบัติครั้งนี้
ภาวะฉุกเฉินด้านการพัฒนา
“นีฟ” กล่าวว่า ในช่วงเวลาที่หลายประเทศและหลายชุมชนกำลังฟื้นตัวจากความเสียหายและความหยุดชะงักที่เกิดจากพายุรุนแรง หลายคนอาจมองว่าเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) เป็นเรื่องไกลตัว หรือเป็นภาระของคนอื่น แต่ความจริงแล้ว SDGs คือ แผนงานที่จะพาเราไปสู่ความยืดหยุ่น ความเจริญรุ่งเรือง อากาศที่สะอาดขึ้น ชุมชนที่ปลอดภัยขึ้น อุตสาหกรรมที่แข่งขันได้มากขึ้น และอนาคตที่ไม่มีใครถูกทิ้งไว้ข้างหลัง
“เราจะไม่มีวัน และไม่สามารถบรรลุ SDGs ทั้ง 17 ข้อได้ภายในเวลาอีกเพียง 5 ปีข้างหน้า หากเราไม่ก้าวไปด้วยกัน”
สหประชาชาติเตือนว่าโลกกำลังเข้าสู่ “ภาวะฉุกเฉินด้านการพัฒนา” โดยเกือบครึ่งของเป้าหมาย SDGs ทั้งหมดมีความคืบหน้าช้ากว่าที่ควร และอีก 18% กำลังถอยหลัง ขณะเดียวกันปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศรุนแรงขึ้น ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ปรับตัวอย่างซับซ้อน และความเหลื่อมล้ำยังคงอยู่ แม้หลายด้านจะมีความคืบหน้า แต่นั่นยังไม่เพียงพอกับสิ่งที่จำเป็นต้องเกิดขึ้น โดยเฉพาะเมื่อเหลือเวลาไม่ถึง 5 ปี ก่อนปี 2030 และนาฬิกาไม่เคยเดินช้าลง
อย่างไรก็ตาม “นีฟ” ระบุว่า ประเทศไทยเป็นตัวอย่างสำคัญที่สะท้อนว่าความเจริญรุ่งเรืองสามารถเดินคู่กับความยั่งยืนได้ โดยมีหลักคิดสำคัญอย่าง “ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง” (SEP) และแนวทางเศรษฐกิจ “BCG” เศรษฐกิจชีวภาพ หมุนเวียน และสีเขียว เป็นเข็มทิศนำทาง
ไทยผู้นำอาเซียนด้าน SDG
ประเทศไทยได้รับการจัดอันดับที่ 43 ของโลกในด้านความก้าวหน้า 3
3..SDGs และเป็นอันดับ 1 ในอาเซียนติดต่อกันเป็นปีที่ 7 ภายในหนึ่งชั่วอายุคนประเทศไทยสามารถลดสัดส่วนประชากรที่ยากจนลงได้เกือบ 85% ขณะที่ระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าครอบคลุมเกือบทุกคน
คิดเป็น 99% ของประชากร โดยมีอัตราการเสียชีวิตของมารดา และเด็กที่ต่ำที่สุดในภูมิภาค นวัตกรรมดิจิทัล เช่น Prompt Pay หรือ Thai QR Code ได้ขยายการเข้าถึงทางการเงิน และประเทศไทยยังอยู่ในอันดับที่สองในอาเซียนสำหรับดัชนีการพัฒนารัฐบาลดิจิทัล
ความก้าวหน้าอื่นๆ ของไทย ที่สำคัญ ได้แก่ การจดทะเบียนรถยนต์ไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นถึง 684% ในปี 2023 ซึ่งช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์โดยประมาณ 344,000 ตัน หรือเทียบเท่ากับการนำรถยนต์ที่ใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล 75,000 คัน ออกจากถนน
นอกจากนี้ ประเทศไทยยังเป็นผู้บุกเบิกการออกพันธบัตรที่เชื่อมโยงกับความยั่งยืน (sustainability-linked bonds) เป็นแห่งแรกในเอเชีย และล่าสุด ประเทศไทยได้กลายเป็นประเทศแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่รับรองการสมรสเท่าเทียม ซึ่งสะท้อนความมุ่งมั่นต่อศักดิ์ศรี และความเท่าเทียมของมนุษย์ ความก้าวหน้าเหล่านี้ไม่สามารถเกิดขึ้นได้โดยโดดเดี่ยว แต่เป็นผลจากการทำงานร่วมกันระหว่างรัฐบาล ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม สถาบันการศึกษา และชุมชน
3 ขั้นตอนเร่งความเร็ว การเงิน-พลังงาน-ความเชื่อมั่น
“นีฟ” ย้ำว่า แม้จะมีความคืบหน้า แต่ต้องไปให้เร็วขึ้น และได้เสนอ 3 ขั้นตอน ที่ทุกภาคส่วนสามารถดำเนินการได้ในทันที ดังนี้
- ปลดล็อกการเงินที่ยั่งยืน (Unlocking Sustainable Finance)
- การลงทุนในการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานที่ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง (Investing in a Just Energy Transition)
- การสร้างความไว้วางใจ และพันธมิตรเพื่อการเปลี่ยนแปลงเชิงระบบ (Building Trust and Partnerships)
ความท้าทายด้านการเงิน และบทบาทภาคเอกชน
“นีฟ” บอกว่า ปัจจุบันระดับเงินทุนเพื่อการพัฒนาทั่วโลกยังไม่เพียงพอต่อการบรรลุเป้าหมายร่วมกัน โดยในประเทศไทย ความต้องการเงินทุนด้าน SDGs ต่อปีเพิ่มขึ้นจาก 1.27 ล้านล้านบาท เป็น 1.4 ล้านล้านบาท แม้ตัวเลขดังกล่าวสะท้อนความท้าทายที่ใหญ่ขึ้น แต่ก็เปิดโอกาสสำคัญ เนื่องจากเงินทุนจากภาคเอกชนมีขนาดใหญ่กว่า เคลื่อนตัวได้เร็วกว่า และมีความสร้างสรรค์มากกว่าแหล่งเงินทุนรูปแบบเดิม
บริษัทชั้นนำหลายแห่งในไทย ซึ่งเป็นสมาชิกของเครือข่ายข้อตกลงโลกแห่งสหประชาชาติ (UN Global Compact Network Thailand) ได้แสดงบทบาทนำผ่านคำมั่นต่างๆ เช่น การเร่งบรรลุ SDGs ด้วยเงินทุนรวม 46,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และการตั้งเป้าหมายสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี 2050
ขณะเดียวกัน หน่วยงานกำกับดูแลของไทยได้แสดงวิสัยทัศน์ในการสร้างระบบนิเวศการลงทุนที่ยั่งยืน ไม่ว่าจะเป็นมาตรฐานการรายงานแบบ One Report ที่ครอบคลุม ESG สิทธิมนุษยชน และการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
อย่างไรก็ตาม ความพยายามเหล่านี้ยังจำเป็นต้องขยายผลในวงกว้าง และขับเคลื่อนให้เร็วขึ้น เพื่อให้ตอบโจทย์ความท้าทายด้านความยั่งยืนที่กำลังเร่งตัวในทศวรรษนี้
การเปลี่ยนผ่านที่เป็นธรรม และทุนมนุษย์
“นีฟ” กล่าวว่า เงินทุนจะมีความหมายก็ต่อเมื่อสามารถแปลงเป็นผลลัพธ์ที่จับต้องได้ในชีวิตของผู้คน ไม่ว่าจะเป็นระบบพลังงานที่สะอาดขึ้น อุตสาหกรรมที่ยั่งยืนขึ้น ธรรมชาติที่ได้รับการฟื้นฟู หรือชุมชนที่แข็งแรงกว่าเดิม ซึ่งภาคเอกชนในไทยมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่ง เพราะคิดเป็น 75% ของการลงทุนทั้งหมด และ 90% ของการจ้างงานในประเทศ
รายงานล่าสุดของ UNDP ระบุว่า การเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานที่เป็นธรรม (Just Energy Transition) สามารถสร้างงานใหม่ในไทยได้มากถึง 172,000 ตำแหน่ง ภายในปี 2050 ในสาขาพลังงานหมุนเวียน ยานยนต์ไฟฟ้า (EVs) การผลิตขั้นสูง และอุตสาหกรรมหมุนเวียน อย่างไรก็ตาม การวิเคราะห์เดียวกันยังชี้ถึงความท้าทายด้านทักษะของแรงงานไทย โดยพบว่า 46% อยู่ในกลุ่มทักษะระดับปานกลาง และมีเพียง 14% อยู่ในกลุ่มทักษะสูง ซึ่งยังตามหลังประเทศเพื่อนบ้านอย่างมาเลเซียและเกาหลีใต้
ด้วยเหตุนี้ ประเทศไทยจำเป็นต้องสร้าง “โอกาสที่ทั่วถึง” ให้กับทุกกลุ่ม โดยเฉพาะผู้ที่อาจถูกทิ้งไว้ข้างหลัง เช่น เยาวชน สตรี ผู้พิการ แรงงานข้ามชาติ และแรงงานในอุตสาหกรรมที่เปราะบาง ความสามารถในการแข่งขันของไทยในระยะยาวขึ้นอยู่กับการลงทุนในทุนมนุษย์ การศึกษาที่เสริมทักษะดิจิทัล STEM และความเข้าใจด้านความยั่งยืน ตลอดจนการสนับสนุนแรงงานผ่านการยกระดับทักษะ การฝึกอบรมใหม่ และการเข้าถึง “งานสีเขียว”
การปรับตัวสู่มาตรฐานโลกผ่านความร่วมมือ
“นีฟ” กล่าวว่า การสร้างความไว้วางใจ และการเป็นพันธมิตรคือ หัวใจของการเปลี่ยนแปลงเชิงระบบ เพราะความร่วมมือจะช่วยสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการระดมเงินทุน และขยายผลกระทบในวงกว้าง การที่รัฐบาลไทยประกาศเป้าหมายวางตำแหน่งประเทศสู่การเป็นสมาชิกองค์การเพื่อความร่วมมือ และการพัฒนาทางเศรษฐกิจ (Organisation for Economic Co-operation and Development: OECD)
จึงเป็นสัญญาณสำคัญของการยกระดับมาตรฐานสากล ทั้งด้านการดำเนินการด้านสภาพภูมิอากาศ การแข่งขันที่เป็นธรรม ธรรมาภิบาล และการทำธุรกิจอย่างรับผิดชอบ ซึ่งทั้งหมดนี้กำลังกลายเป็นกลยุทธ์การแข่งขันรูปแบบใหม่ ที่ธุรกิจทุกขนาดต้องมีบทบาทร่วมสร้าง
ขณะเดียวกัน การเจรจาข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) ระหว่างไทยกับสหภาพยุโรป (EU) แม้จะเปิดโอกาสด้านการส่งออก และการเติบโต แต่ก็มาพร้อมความคาดหวังที่สูงขึ้น โดยเฉพาะมาตรการใหม่ของ EU เช่น กลไกปรับคาร์บอนข้ามพรมแดน (CBAM) และข้อกำหนดด้านความยั่งยืน และสิทธิมนุษยชนของภาคธุรกิจ (Corporate Sustainability & Human Rights Due Diligence Directive)
แม้หลายมาตรฐานอาจถูกมองว่าเป็นภาระเพิ่มเติม แต่แท้จริงแล้วสามารถเป็นประตูสู่ความสามารถในการแข่งขันระยะยาว เพิ่มสภาพคล่องทางการเงิน และยกระดับประสิทธิภาพการดำเนินงาน “สหประชาชาติในประเทศไทย และภูมิภาคพร้อมสนับสนุนภาคเอกชนผ่านความร่วมมือหลากหลาย เช่น ความร่วมมือระหว่าง UNDP กับ ก.ล.ต. ในการพัฒนาคู่มือ SDG การที่ UNEP ผลักดันการเงินที่ยั่งยืนผ่านหลักการธนาคารที่มีความรับผิดชอบ และบทบาทของ ILO ที่มุ่งเน้นการเปลี่ยนผ่านที่เป็นธรรม และการพัฒนาทักษะแรงงานสีเขียว”
"นีฟ" ทิ้งท้ายว่า SDGs ต้องการการก้าวไปด้วยกัน เพื่อระดมเงินทุนสำหรับการเปลี่ยนผ่าน ลดความเสี่ยง และแปลงความตั้งใจสู่โครงการที่ธนาคารให้การสนับสนุนได้จริง เพื่อบรรลุการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานที่เป็นธรรม ลดการปล่อยคาร์บอน และสร้างระบบที่โปร่งใสซึ่งนำไปสู่ความไว้วางใจ
“ทางเลือกที่คุณตัดสินใจในวันนี้ จะกำหนดสังคมที่เราจะอยู่ร่วมกันในวันพรุ่งนี้ องค์กรทั้ง 21 แห่งในทีมสหประชาชาติประจำประเทศไทยพร้อมทำงานเคียงข้างทุกภาคส่วนต่อไป”
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์







