PM2.5 ฝุ่นละอองเล็กแต่ 'ปัญหาใหญ่' แก้อย่างไรให้ 'ยั่งยืน'

ประเทศไทยต้องเผชิญกับวิกฤตฝุ่นละอองขนาดเล็กหรือ PM2.5 ซึ่งเปรียบเสมือนภัยเงียบที่คุกคามสุขภาพของประชาชนและเศรษฐกิจของประเทศมาอย่างต่อเนื่อง
KEY
POINTS
- การแก้ปัญหาฝุ่น PM2.5 อย่างยั่งยืนต้องอาศัยการบังคับใช้กฎหมาย (พ.ร.บ. อากาศสะอาด) อย่างจริงจัง ควบคู่ไปกับมาตรการทางเศรษฐศาสตร์
- เสนอให้นำมาตรการทางเศรษฐศาสตร์มาใช้เพื่อสร้างแรงจูงใจในการลดมลพิษ เช่น การกำหนดเขตมลพิษต่ำ (LEZs) และระบบซื้อขายสิทธิการปล่อยมลพิษ (Cap-and-Trade)
- ใช้หลักการ "ผู้ก่อมลพิษเป็นผู้จ่าย" ผ่านการเก็บภาษีหรือค่าธรรมเนียมมลพิษ โดยต้องพิจารณาไม่ให้สร้างภาระแก่ประชาชนและภาคธุรกิจมากเกินไป
- กุญแจสำคัญคือการหมุนเวียนรายได้ (Revenue Recycling) โดยนำเงินภาษีที่จัดเก็บได้กลับมาลงทุนในระบบขนส่งสาธารณะและเทคโนโลยีสะอาดเพื่อสร้างการยอมรับจากทุกภาคส่วน
เข้าสู่ช่วงปลายปี เป็นอีกครั้งที่ประเทศไทยต้องเผชิญกับวิกฤตฝุ่นละอองขนาดเล็กหรือ PM2.5 ซึ่งเปรียบเสมือนภัยเงียบที่คุกคามสุขภาพของประชาชนและเศรษฐกิจของประเทศมาอย่างต่อเนื่อง สาเหตุสำคัญมาจากการขาดมาตรการควบคุมมลพิษจากการคมนาคม การเผาในที่โล่งแจ้ง หรือการปล่อยมลพิษข้ามพรมแดน แม้ว่าที่ผ่านมาภาครัฐและเอกชนจะพยายามระดมสรรพกำลังเพื่อหาทางออก แต่ปัญหาก็ยังคงวนเวียนกลับมาทุกปี
ขณะนี้เราเริ่มเห็นความเคลื่อนไหวสำคัญจากการผลักดัน พระราชบัญญัติบริหารจัดการเพื่ออากาศสะอาด (พ.ร.บ. อากาศสะอาด) ซึ่งคาดว่าอาจออกมาเป็นกฎหมายในไม่ช้า อย่างไรก็ตาม การมีกฎหมายเป็นเพียงจุดเริ่มต้น ความท้าทายที่แท้จริงอยู่ที่ "การบังคับใช้ให้เกิดผลสัมฤทธิ์" (Effective Execution) ซึ่งต้องเน้นการก่อให้เกิดการนำไปปฏิบัติอย่างเคร่งครัดและบังคับใช้ที่จริงจังครับ
ในแง่ของกลไกการบังคับใช้ สิ่งที่จะช่วยเสริมประสิทธิภาพกฎหมายได้ดีคือการนำ “มาตรการทางเศรษฐศาสตร์” มาใช้ควบคู่กัน โดยกลไกนี้มีนิยามว่าเป็นมาตรการทางเศรษฐศาสตร์ที่ใช้สร้างแรงจูงใจหรือปรับพฤติกรรมของบุคคลและองค์กร เพื่อลดมลพิษทางอากาศ รวมถึงส่งเสริมอากาศสะอาด เช่น ภาษีเพื่ออากาศสะอาด และค่าธรรมเนียมการจัดการมลพิษทางอากาศ ขณะที่ประเทศไทยกำลังจะได้ข้อสรุปของกรอบกฎหมายฉบับประวัติศาสตร์นี้ ผมขอหยิบยกกรณีศึกษาจากต่างประเทศที่น่าสนใจและจุดที่ควรระวังในการนำข้อกฎหมายมาปรับใช้ ดังนี้ครับ
มาตรการแรกที่เห็นผลได้รวดเร็วที่สุด โดยเฉพาะในเมืองใหญ่คือการกำหนดราคาค่าผ่านทางและเขตมลพิษต่ำ (Congestion Pricing & Low Emission Zones - LEZs) หลักการสำคัญคือการกำหนด “ราคา” ให้กับ “สิทธิในการก่อมลพิษ" ในพื้นที่ที่มีความหนาแน่นสูง ตัวอย่างคือในกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ภายใต้กฎหมาย
Environment Act 1995 ได้กำหนดเขต “Ultra Low Emission Zone (ULEZ)” ขึ้น โดยรถยนต์ที่ไม่ผ่านมาตรฐานยูโร 6 จะต้องจ่ายค่าธรรมเนียมสูงถึง 12.50 ปอนด์ต่อวัน (ประมาณ 520 บาท) ผลลัพธ์ที่ได้คือ ตั้งแต่ปี 2017 (พ.ศ. 2560) เป็นต้นมา มาตรการนี้มีส่วนช่วยลดความเข้มข้นของ PM2.5 ในใจกลางลอนดอนลงได้ถึง 41 % แนวคิดนี้เรียกว่าเป็นการดึงให้ผู้บริโภคเข้ามามีส่วนรับผิดชอบกับการก่อมลพิษของตนเอง ทั้งนี้หากบ้านเราอยากนำมาใช้ ต้องศึกษาผลดีผลเสียให้รอบด้าน
มาตรการที่สอง คือ ระบบการซื้อขายสิทธิการปล่อยมลพิษ (Cap-and-Trade Systems) กลไกตลาดในการลดมลพิษ โดยภาครัฐบาลจะกำหนด “เพดาน” (Cap) ของปริมาณมลพิษรวมที่อนุญาตให้ปล่อยได้ ซึ่งเพดานที่ว่านี้จะลดต่ำลงเรื่อยๆ ในแต่ละปี บริษัทที่สามารถลดการปล่อยมลพิษได้ต่ำกว่าเกณฑ์ จะมีเครดิตเหลือเพื่อนำไป “ขาย” (Trade) ให้กับบริษัทที่ปล่อยมลพิษเกินเกณฑ์ วิธีนี้จูงใจให้ภาคอุตสาหกรรมแข่งกันลดมลพิษเพื่อสร้างกำไรผ่านการขายเครดิต เคยมีกรณีศึกษาในประเทศจีนที่ได้นำระบบนี้มาใช้ซึ่งได้ช่วยลดทั้งการปล่อยคาร์บอนและฝุ่น PM2.5 ในเวลาเดียวกัน
มาตรการสุดท้าย คือ ภาษีมลพิษและหลักการผู้ก่อมลพิษเป็นผู้จ่าย (Pollution Taxes & Polluter Pays) โดยในสิงคโปร์มีการใช้ภาษีคาร์บอน (Carbon Tax) ควบคู่กับระบบเก็บค่าผ่านทาง (Electronic Road Pricing - ERP) เพื่อควบคุมทางอ้อมให้ประชาชนหันไปใช้พลังงานสะอาด อย่างไรก็ตาม หากนำมาใช้ในไทย ประเด็นที่ต้องพิจารณาอย่างถ้วนถี่คือการบูรณาการการจัดเก็บทั้งภาษี ค่าธรรมเนียม และค่าปรับต่างๆ ที่จะต้องไม่ซ้ำซ้อนและไม่สร้างภาระที่มากเกินไป โดยเฉพาะในช่วงระยะเปลี่ยนผ่าน (Transition Period) เพื่อให้ภาคธุรกิจและประชาชนสามารถปรับตัวได้โดยไม่เกิดผลกระทบทางเศรษฐกิจที่รุนแรงจนไม่สามารถแข่งขันได้
กุญแจสำคัญที่จะทำให้มาตรการเหล่านี้เป็นไปได้จริงและยั่งยืนคือแนวคิดการหมุนเวียนรายได้ (Revenue Recycling) หากภาครัฐสามารถจัดเก็บรายได้จากภาษีมลพิษได้ ต้องทำให้ภาคประชาชนเห็นว่าเงินส่วนนี้จะไม่ได้หายไปไหน แต่จะหมุนย้อนกลับมาใช้เพื่อปรับปรุงระบบขนส่งสาธารณะและระบบการผลิต เมื่อภาคเอกชนและภาคประชาชนเข้าใจว่าเงินที่จ่ายไปผ่านระบบภาษีจะตอบแทนกลับมาด้วยระบบการคมนาคมสะอาดหรือระบบการจัดการมลพิษดีขึ้น พร้อมคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น นโยบายด้านการลดมลพิษจะได้รับการยอมรับและเดินหน้าต่อได้อย่างยั่งยืน
การมี พ.ร.บ. อากาศสะอาด ถือเป็นก้าวที่สำคัญของสิ่งแวดล้อมไทย ซึ่งต้องพิจารณาทั้งการสร้างความสมดุลระหว่างการบังคับใช้กฎหมายและผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นทางเศรษฐกิจ และที่สำคัญทุกภาคส่วนต้องเดินหน้าร่วมกันและต้องไม่ทิ้งภาระให้กับภาคส่วนใดภาคส่วนหนึ่ง เพื่อไม่ให้การแก้ปัญหาฝุ่นพิษ PM2.5 นี้เป็นเพียงการทำให้จบเป็นครั้งๆ ไปและคืนอากาศบริสุทธิ์สู่ปอดของคนไทยได้อย่างยั่งยืนครับ







