พ.ร.บ.ลดโลกร้อน - พ.ร.บ.อากาศสะอาด 2 กฎหมายทรงพลัง หนุนเศรษฐกิจ สังคมยั่งยืน

พ.ร.บ.ลดโลกร้อน - พ.ร.บ.อากาศสะอาด 2 กฎหมายทรงพลัง หนุนเศรษฐกิจ สังคมยั่งยืน

ร่าง พ.ร.บ.ลดโลกร้อน เป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้างเศรษฐกิจใหม่ และขับเคลื่อนประเทศสู่เป้าหมาย Net Zero 2050 ขณะที่ พ.ร.บ.อากาศสะอาด มุ่งเน้นการควบคุมมลพิษทางอากาศ

KEY

POINTS

  • ร่าง พ.ร.บ.ลดโลกร้อน เครื่องมือสำคัญสร้างเศรษฐกิจใหม่ และขับเคลื่อนประเทศสู่เป้าหมาย Net Zero 2050 ขณะที่ พ.ร.บ.อากาศสะอาด มุ่งเน้นการควบคุมมลพิษทางอากาศ
  • พ.ร.บ.ลดโลกร้อน มีกลไกทางการเงิน และการตลาดที่สำคัญ
  • เทคโนโลยีดาวเทียมจาก GISTDA และแอปพลิเคชัน 'เช็กฝุ่น' มีบทบาทในการสนับสนุน พ.ร.บ.อากาศสะอาด
  • ร่าง พ.ร.บ.ลดโลกร้อน ผ่านความเห็นชอบจาก ครม. คาดจะมีผลบังคับใช้ต้นปี 2570

ในยุคที่ประเทศไทยต้องเผชิญกับความท้าทายด้านสภาพภูมิอากาศที่รุนแรงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ร่างพระราชบัญญัติการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ หรือ พ.ร.บ.ลดโลกร้อน ได้กลายเป็นเครื่องมือสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ และสร้างความยั่งยืนให้ประเทศ ในขณะที่ พ.ร.บ.อากาศสะอาด เป็นกฎหมายที่เน้นการตรวจสอบ และควบคุมฝุ่น และมลพิษในชั้นบรรยากาศ ทั้งสองกฎหมายนี้จึงทำงานประสานกันในด้านสิ่งแวดล้อม เพื่อเสริมสร้างระบบนิเวศและความมั่นคงด้านสุขภาพ

ความสำคัญของกฎหมายทั้งสองฉบับได้รับการถ่ายทอดในงาน Sustainability Forum 2026 ซึ่งจัดโดย “กรุงเทพธุรกิจ” ระหว่างวันที่ 3-4 ธันวาคม 2568 ภายใต้ธีม Shift Forward: Overcoming Challenges ที่สามย่านมิตรทาวน์ โดยบนเวทีมีการนำเสนอความคืบหน้าและบทบาทของ พ.ร.บ.ลดโลกร้อน และ พ.ร.บ.อากาศสะอาด ในการขับเคลื่อนประเทศไปสู่เป้าหมายสังคมคาร์บอนต่ำและคุณภาพอากาศที่ดีขึ้น

ดร.พิรุณ สัยยะสิทธิ์พานิช อธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และสิ่งแวดล้อม กล่าวในหัวข้อ Climate Act: New Laws and Regulations, The game Changer ว่า ร่าง พ.ร.บ.การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (พ.ร.บ.ลดโลกร้อน) ไม่เป็นเพียงการ “รักโลก” แต่เป็นเครื่องมือสำคัญในการ “สร้างเศรษฐกิจใหม่” ให้ไทยสามารถแข่งขันในเวทีโลกได้

พ.ร.บ.ลดโลกร้อน - พ.ร.บ.อากาศสะอาด 2 กฎหมายทรงพลัง หนุนเศรษฐกิจ สังคมยั่งยืน

น้ำท่วมใต้ เศรษฐกิจเสียหาย

ผลกระทบจากภัยพิบัติ และความผันผวนของสภาพอากาศ โดยน้ำท่วมเฉียบพลันที่หาดใหญ่ และอีก 9-10 จังหวัดภาคใต้ ซึ่งกระทรวงการคลังประเมินความเสียหายทางเศรษฐกิจคิดเป็น 0.2% ของ GDP คิดเป็นมูลค่าความเสียหายอย่างน้อย 50,000 ล้านบาท จาก GDP รวมกว่า 20 ล้านล้านบาท

สำหรับข้อมูลจาก German Watch ในปี 2026 ซึ่งเป็นองค์กรไม่แสวงหาผลกำไรของเยอรมัน ที่จัดทำ Climate Risk Index ระบุว่า อันดับความเสี่ยงด้านสภาพภูมิอากาศของประเทศไทยแย่ลงอย่างมาก โดยจากลำดับที่ 72 ในปี 2022 (จาก 197 ประเทศ) ปัจจุบันไทยอยู่ลำดับ 17 โดยการไม่ทำอะไรหรือการทำช้าเกินไปอาจมีค่าใช้จ่ายที่แพงกว่าการเร่งแก้ไขปัญหา

ความก้าวหน้าของไทยใน COP 30

รวมทั้งผลจากการประชุม COP 30 มีเพียง 122 ประเทศจาก 197 ประเทศทั่วโลก เท่านั้นที่ส่งเป้าหมายปี 2035 (2578) ซึ่งทำให้การประเมิน Global Stocktaking เพื่อดูว่าเป้าหมายรวมของโลกจะจำกัดอุณหภูมิไว้ที่ 1.5 องศาเซลเซียสได้หรือไม่นั้น เป็นเรื่องยาก

อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยได้ส่ง NDC 3.0 ซึ่งได้ขยับเป้าหมาย Net Zero ไปยังปี 2050 สอดคล้องกับประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียน เช่น เวียดนาม กัมพูชา มาเลเซีย สิงคโปร์ และบรูไน

ส่วนเป้าหมาย NDC 3.0 สำหรับ 10 ปีข้างหน้า ความท้าทาย คือ การลดก๊าซเรือนกระจกถึง 109.2 ล้านตัน และเพิ่มการดูดกลับอีก 118 ล้านตัน (จากป่าไม้ และเทคโนโลยี) ส่งผลให้ไทยมีปริมาณการปล่อยสุทธิปี 2578 อยู่ที่ 152 ล้านตัน CO2e เพื่อให้บรรลุ Net Zero 2050 ซึ่งไม่แตกต่างจาก Carbon Neutrality 2050 จะต้องลดก๊าซเรือนกระจกในภาคส่วนอื่นๆ นอกเหนือจากพลังงาน

ดร.พิรุณ กล่าวด้วยว่า การขับเคลื่อนเชิงนโยบาย และความร่วมมือในปัจจุบันนั้นพาไทยไปถึงเป้าหมายปี 2030 ได้เท่านั้น แต่สำหรับการขับเคลื่อนไปสู่เป้าหมายปี 2035 และ Net Zero 2050 จำเป็นต้องมีเครื่องมือใหม่คือ พ.ร.บ. การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

พ.ร.บ.ลดโลกร้อน ถูกออกแบบมาอย่างสมดุลเพื่อสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจใหม่ และเพื่อให้มั่นใจว่าวาระสภาพภูมิอากาศจะดำเนินต่อเนื่อง ไม่ว่ารัฐบาลจะเปลี่ยนไป

อย่างไรก็ตาม เป้าหมาย Net Zero จะถูกกำหนดไว้ในหมวดที่ 2 ของร่าง พ.ร.บ. การยกระดับการปรับตัว และการใช้ข้อมูลที่แม่นยำ

กลไกการเงินหนุนลดปล่อยคาร์บอน

สำหรับร่าง พ.ร.บ.ลดโลกร้อน ฉบับนี้มี 5 เรื่องสำคัญที่อยู่ครบถ้วน โดยเฉพาะกลไกทางการเงิน และการตลาด ได้แก่

  • กองทุนการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ หมวดที่ 4 ของร่าง พ.ร.บ. ที่ผ่านความเห็นชอบจากกระทรวงการคลัง ใช้เงินจากกลไกคาร์บอนช่วยภาคเอกชน ประชาชน ท้องถิ่น และงานวิจัย เพื่อลดคาร์บอน และรองรับภัยพิบัติ ปิดช่องว่างทางการเงินสำหรับเทคโนโลยีราคาสูง
  • การรายงาน และควบคุมการปล่อย กำหนดให้นิติบุคคล 3,000-4,000 แห่ง รายงานการปล่อยก๊าซเรือนกระจก พร้อมเพดานปล่อย (Cap and Trade/ETS) สำหรับ 300 แห่ง
  • Thailand CBAM สร้างการแข่งขันเท่าเทียม โดยเก็บค่าธรรมเนียมสินค้านำเข้าคล้าย EU CBAM เพื่อรองรับผู้ผลิตในประเทศ
  • ภาษีคาร์บอน เป็นเครื่องมือสำคัญ แม้ภาคอุตสาหกรรมลดคาร์บอน แต่ต้องเปลี่ยนพฤติกรรมผู้บริโภค รัฐจัดเก็บภาษีจริงเพื่อให้ผู้ส่งออกหักลบกับ EU CBAM โดย World Bank แนะนำราคา 25 ดอลลาร์ต่อตัน ภายในปี 2030
  • Thailand Taxonomy ทำงานร่วมกับแบงก์ชาติ จัดประเภทการลงทุนเป็นสีเขียว สีเหลือง (ช่วงเปลี่ยนผ่าน) และสีแดง พร้อมสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านที่ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง

เส้นทางกฎหมาย และการบังคับใช้

ทั้งนี้ ร่าง พ.ร.บ.การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ มี 205 มาตรา 14 หมวด ผ่านความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี (ครม.) แล้ว โดยกรมฯ มีเวลาตรวจร่างกับคณะกรรมการกฤษฎีกา ซึ่งพร้อมเสนอสภาผู้แทนราษฎรทันทีหลังการเลือกตั้ง และเปิดสภาใหม่ และคาดว่าร่างกฎหมายจะผ่านวุฒิสภา และบังคับใช้ได้ในช่วงต้นปี 2570

ดร.พิรุณ ย้ำว่า แม้กลไก และเทคโนโลยีเป็นสิ่งสำคัญ แต่ต้นทุนที่ถูกที่สุด และกลับกลายเป็นสิ่งที่ยากที่สุดคือ การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม (Behavior) และทัศนคติ (mindset) ของผู้บริโภค ซึ่งเป็นความท้าทายที่ประเทศไทย และทั่วโลกต้องเผชิญร่วมกัน

พ.ร.บ.ลดโลกร้อน - พ.ร.บ.อากาศสะอาด 2 กฎหมายทรงพลัง หนุนเศรษฐกิจ สังคมยั่งยืน

ดาวเทียมหนุนตรวจสอบลดคาร์บอน

ดร.ปกรณ์ อาภาพันธุ์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) หรือ GISTDA กล่าวในหัวข้อธุรกิจปรับตัวรับมือ พ.ร.บ.อากาศสะอาด ว่า ดาวเทียมที่โคจรเหนือโลกตรวจจับการเปลี่ยนแปลงของชั้นบรรยากาศได้ตลอดเวลา โดยตรวจวัดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ไนโตรเจน ความร้อน และความชื้น

สำหรับข้อมูลดังกล่าวช่วยให้ทราบว่ากลุ่มอากาศที่เปลี่ยนจุดไหน มีความร้อนเพิ่มขึ้นบริเวณใด และอากาศกำลังเคลื่อนตัวมาจากทิศทางใด อาจจะมาจากประเทศเพื่อนบ้านหรือพื้นที่ใกล้เคียง

ทั้งนี้ ข้อมูลดาวเทียมมีความสำคัญในการรับมือมลพิษ โดยเฉพาะฝุ่น PM 2.5 ซึ่ง GISTDA ใช้ระบบปัญญาประดิษฐ์ (AI) และ Machine Learning ประมวลผลข้อมูล ทำให้ทราบปริมาณฝุ่น PM 2.5 ทุกตารางกิโลเมตรและทุกชั่วโมง

แม้ว่าเซนเซอร์บนพื้นดินจะให้ข้อมูลที่แม่นยำ ณ จุดที่ติดตั้ง แต่ “ดร.ปกรณ์” ระบุว่า GISTDA ได้นำข้อมูลดาวเทียมมาปรับเทียบกับเซนเซอร์บนพื้นดิน ทำให้ข้อมูลดาวเทียมมีความละเอียดแม่นยำมากยิ่งขึ้น และสามารถให้ข้อมูลครอบคลุมในพื้นที่ที่ไม่มีเซนเซอร์ได้

“ทุกวันนี้เราพยายามส่งเสริมการใช้แอปพลิเคชันที่ชื่อว่า ‘เช็กฝุ่น’ ซึ่งพัฒนาโดย GISTDA เอง เพื่อติดตามดูฝุ่นในพื้นที่บ้านเรา แอปพลิเคชันนี้แม่นยำเพราะให้ข้อมูลทุกตารางกิโลเมตรและทุกชั่วโมง”

ข้อมูลเหล่านี้มีความเกี่ยวข้องโดยตรงกับ พ.ร.บ. อากาศสะอาด ที่กำลังรออยู่ อย่างไรก็ตาม GISTDA เน้นย้ำว่า การให้ข้อมูลไม่ได้มีเจตนาเพื่อการลงโทษเป็นหลัก แต่มีไว้เพื่อเป็นไกด์ไลน์ให้ประชาชน เกษตรกร หรือผู้ประกอบการ ได้ตระหนักรู้ ปรับปรุงตัว และใช้เป็นหลักฐานในการพิสูจน์ตนเอง

รับมือกฎระเบียบสิ่งแวดล้อมยุโรป

ดร.ปกรณ์ กล่าวว่า กฎระเบียบใหม่ของสหภาพยุโรป (EU) ที่เรียกว่า EUDR (EU Deforestation Regulation) หรือ กฎระเบียบว่าด้วยผลิตภัณฑ์ปลอดการตัดไม้ทำลายป่า โดยหากธุรกิจใดเผาป่าหรือตัดไม้จะถูก EU แบนไม่ให้นำเข้า และ GISTDA ใช้ข้อมูลดาวเทียมตรวจสอบข้อมูลภาพย้อนหลังได้ 30 ปี และพัฒนาแพลตฟอร์ม “LANDX” หรือ “Land Explorer” เพื่อให้ผู้ประกอบการตรวจสอบ

ในด้านความร่วมมือระดับนานาชาติ GISTDA ทำงานร่วมกับหน่วยงานด้านการสำรวจโลก (Earth Observation) เช่น NASA (สหรัฐ), NOAA (สหรัฐ), และ JAXA (ญี่ปุ่น) ซึ่งมีการแลกเปลี่ยนข้อมูลกันฟรี

ที่สำคัญ “ดร.ปกรณ์” ยังเปิดเผยว่า ประเทศไทยเป็นประธานคณะกรรมการด้านวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีของสหประชาชาติ (UN) ในส่วนที่เกี่ยวกับอวกาศ โดยตนเองทำหน้าที่เป็นประธาน และมีแผนที่จะนำประเด็นเรื่อง หมอกควันข้ามพรมแดน เข้าสู่การประชุมของ UN ในเดือนกุมภาพันธ์ เพื่อให้เป็นวาระระหว่างประเทศศักยภาพสู่กระทรวงอวกาศ

 

พิสูจน์อักษร....สุรีย์   ศิลาวงษ์