‘หลุมโอโซน’ มีขนาดเล็กลง ความสำเร็จจากทั่วโลกหยุดใช้ ‘สาร CFC’

‘หลุมโอโซน’ มีขนาดเล็กลง ความสำเร็จจากทั่วโลกหยุดใช้ ‘สาร CFC’

“หลุมโอโซน” เหนือแอนตาร์กติกาเล็กลง หายไปเร็วขึ้น สัญญาณบวกในการฟื้นตัวของชั้นโอโซน ความสำเร็จจากทั่วโลกหยุดใช้สาร CFC

KEY

POINTS

  • หลุมโอโซนเหนือทวีปแอนตาร์กติกาในปีนี้มีขนาดเล็กลงที่สุดในรอบ 5 ปี ซึ่งเป็นสัญญาณที่ดีของการฟื้นตัวของชั้นโอโซน
  • ความสำเร็จนี้เป็นผลโดยตรงจากความร่วมมือของทั่วโลกในการยุติการใช้สารคลอโรฟลูออโรคาร์บอน (CFC) ตามข้อตกลงในพิธีสารมอนทรีออลปี 1987
  • องค์การอุตุนิยมวิทยาโลกคาดการณ์ว่า หากยังคงมาตรการนี้ต่อไป ชั้นโอโซนจะสามารถฟื้นตัวกลับสู่ระดับเดียวกับปี 1980 ได้ภายในปี 2066

หลุมโอโซน” เหนือแอนตาร์กติกาในปีนี้มีขนาดเล็กที่สุด และปรากฏตัวสั้นที่สุดนับตั้งแต่ปี 2019 ตามข้อมูลของนักวิทยาศาสตร์อวกาศยุโรป ถือเป็นสัญญาณที่ดีในการฟื้นตัวของชั้นโอโซน

จากข้อมูลของ บริการตรวจสอบบรรยากาศโคเปอร์นิคัส พบว่า นับตั้งแต่เดือนกันยายน เป็นต้นมา “หลุมโอโซน” ในซีกโลกใต้ครอบคลุมพื้นที่สูงสุด 21 ล้านตร.กม. ซึ่งมีขนาดเล็กลงที่สุดในรอบ 5 ปีและมีขนาดเล็กลงจนกระทั่งใกล้จะหายไปแล้ว นับเป็นปีที่สองติดต่อกันที่มีหลุมโอโซนขนาดเล็กเมื่อเทียบกับหลุมโอโซนขนาดใหญ่ และยาวนานหลายหลุมในช่วงปี 2020-2023

แม้ว่าหลุมโอโซนจะพบได้ทั่วไปในชั้นสตราโตสเฟียร์ แต่รูปแบบหลุมโอโซนที่รุนแรงที่สุดจะเกิดขึ้นเหนือภูมิภาคแอนตาร์กติก เนื่องจากอุณหภูมิที่เย็นจัด และปฏิกิริยาทางเคมีเฉพาะตัวในชั้นบรรยากาศสตราโตสเฟียร์ ช่วงระหว่างเดือนกันยายนถึงพฤศจิกายน ซึ่งเป็นช่วงฤดูใบไม้ผลิของซีกโลกใต้ 

“การหายไปก่อนเวลา และขนาดที่ค่อนข้างเล็กของรูโอโซนในปีนี้เป็นสัญญาณที่ดี และสะท้อนให้เห็นถึงความก้าวหน้าอย่างต่อเนื่องในการฟื้นตัวของชั้นโอโซน อันเนื่องมาจากการห้ามใช้สารที่ทำลายชั้นโอโซน” ลอเรนซ์ รูอิล ผู้อำนวยการ สำนักงานตรวจสอบบรรยากาศโคเปอร์นิคัส กล่าวในรายงานฉบับนี้

รูอิล เน้นย้ำว่า นี่ถือเป็นความสำเร็จที่เกิดขึ้นจากความร่วมมือของคนทั่วโลก ในการรับมือความท้าทายด้านสิ่งแวดล้อมระดับโลก

หลุมโอโซนเป็นภาวะที่ชั้นโอโซนในสตราโตสเฟียร์บางลงตามฤดูกาล โดยเฉพาะในบริเวณขั้วโลกใต้ ถูกค้นพบครั้งแรกในปี 1985 สาเหตุหลักเกิดจากการปล่อยสารเคมี เช่น คลอโรฟลูออโรคาร์บอน หรือ CFC ซึ่งทำลายโมเลกุลของโอโซน และทำให้รังสีอัลตราไวโอเลตที่เป็นอันตรายมากขึ้นมาถึงพื้นผิวโลก หลังจากนั้นทั่วโลกต่างลงนามในพิธีสารมอนทรีออลปี 1987 เพื่อยุติการใช้สารเคมีทำลายโอโซน

งานวิจัยในวารสาร Nature Climate Change เมื่อปี 2024 พบว่า พิธีสารมอนทรีออลช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้สำเร็จ และลดผลกระทบจากความร้อนที่เกิดขึ้นจากก๊าซเหล่านี้เร็วขึ้น 5 ปี องค์การอุตุนิยมวิทยาโลก ประเมินว่าการยกเลิกใช้สารเคมีเหล่านี้ จะช่วยให้ชั้นโอโซนเหนือแอนตาร์กติกา ซึ่งเป็นพื้นที่ที่บางที่สุด ฟื้นตัวกลับสู่ระดับเดียวกับปี 1980 ภายในปี 2066

นักวิทยาศาสตร์ยังคงพยายามทำความเข้าใจว่าเหตุใด หลุมโอโซนในช่วงระหว่างปี 2020-2023 ถึงมีขนาดใหญ่กว่าปรกติ พวกเขาสันนิษฐานว่าอาจจะมาจากการปะทุของภูเขาไฟฮังกาตองกาในปี 2022 ซึ่งพ่นเถ้าถ่าน และไอน้ำจำนวนมหาศาลขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศสตราโตสเฟียร์ 

หากชั้นบรรยากาศไม่มีโอโซน จะทำให้รังสียูวีเข้าถึงพื้นผิวโลกได้มากขึ้น ทำลายพืชผลทางการเกษตร ก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพของมนุษย์ รวมถึงมะเร็งผิวหนัง และต้อกระจก

นาซา และองค์การบริหารมหาสมุทร และบรรยากาศแห่งชาติของสหรัฐจัดอันดับรูรั่วโอโซนในปี 2025 ว่ามีขนาดเล็กที่สุดเป็นอันดับ 5 นับตั้งแต่ปี 1992

พอล นิวแมน หัวหน้าทีมวิจัยโอโซนประจำศูนย์การบินอวกาศก็อดดาร์ดของนาซา กล่าวว่า หลุมโอโซนกำลังก่อตัวขึ้นในช่วงปลายฤดูกาล และสลายตัวเร็วขึ้น ซึ่งเป็นไปตามที่นักวิจัยคาดการณ์ แต่ย้ำเตือนกว่าเรายังจำเป็นต้องรักษาระดับนี้เอาไว้ให้ได้

 

ที่มา: ABC NewsDown to EarthThe Guardian

พิสูจน์อักษร....สุรีย์   ศิลาวงษ์