พ.ร.บ.ลดโลกร้อน กฎหมายคุมวิกฤติอากาศ ลดเสี่ยงภัยสุดขั้ว ปูทางใช้ปี 2570

พ.ร.บ.ลดโลกร้อน กฎหมายคุมวิกฤติอากาศ ลดเสี่ยงภัยสุดขั้ว ปูทางใช้ปี 2570

พ.ร.บ.ลดโลกร้อน กฎหมายสำคัญที่จะสร้างเศรษฐกิจใหม่ให้ไทย และเป็นเครื่องมือจัดการความเสี่ยงจากสภาพภูมิอากาศสุดขั้วอย่างมีระบบ

KEY

POINTS

  • พรบ.ลดโลกร้อน กฎหมายสำคัญที่จะสร้างเศรษฐกิจใหม่ให้ไทย และเป็นเครื่องมือจัดการความเสี่ยงจากสภาพภูมิอากาศสุดขั้วอย่างมีระบบ
  • ไทยเผชิญความเสี่ยงด้านสภาพภูมิอากาศเพิ่มขึ้น จากอันดับ 72 ในปี 2022 มาเป็นอันดับ 17 ของโลก
  • เหตุการณ์ฝนตกหนักผิดฤดูและน้ำท่วมเฉียบพลันในภาคใต้ ส่งผลเสียหายทางเศรษฐกิจประมาณ 0.2% ของ GDP หรือราว 50,000 ล้านบาท และความเสียหายทางชีวิตที่ประเมินค่าไม่ได้
  • อุณหภูมิโลกปัจจุบันเกิน 1.5 องศาเซลเซียสแล้ว และถ้าเพิ่มขึ้นถึง 2.5 องศา น้ำทะเลจะสูงขึ้น 2.5 เมตร ซึ่งอาจทำให้กรุงเทพฯ เผชิญน้ำท่วมรุนแรง

“ดร.พิรุณ สัยยะสิทธิ์พานิช” อธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม ขึ้นเวที Bangkok Biz Sustainability Forum 2026: Shift Forward: Overcoming ในหัวข้อ Climate Act: New Laws and Regulations, The Game Changer พร้อมตอกย้ำความจำเป็นเร่งด่วนของการผลักดันร่างพระราชบัญญัติ (พรบ.) การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยชี้ว่ากฎหมายฉบับนี้ไม่ใช่เพียงเรื่อง “รักโลก” แต่คือหัวใจของการสร้าง “เศรษฐกิจใหม่” ที่จะทำให้ไทยแข่งขันได้บนเวทีโลก พร้อมเผยข้อมูลความเสี่ยงด้านสภาพภูมิอากาศของไทยที่กำลังพุ่งสูงอย่างน่ากังวล

“ดร.พิรุณ” แสดงความเสียใจต่อเหตุการณ์น้ำท่วมเฉียบพลันในพื้นที่หาดใหญ่ และอีก 9-10 จังหวัดภาคใต้ ซึ่งส่งผลให้เกิดการสูญเสียชีวิต แม้เม็ดเงินทางเศรษฐกิจที่หายไปสามารถฟื้นฟูได้ แต่ชีวิตคนนั้นตีค่าไม่ได้ จากเหตุการณ์น้ำท่วมดังกล่าว กระทรวงการคลังประเมินความเสียหายทางเศรษฐกิจคิดเป็นร้อยละ 0.2 ของ GDP ประเทศไทย ซึ่งคิดเป็นมูลค่าความเสียหายอย่างน้อย 50,000 ล้านบาท จาก GDP รวมกว่า 20 ล้านล้านบาท

“ความผันผวนของสภาพอากาศที่รุนแรงขึ้นทั่วโลก ไม่ใช่เรื่องแปลกอีกต่อไป เพราะอุณหภูมิโลกได้เกิน 1.5 องศาเซลเซียสไปแล้ว เหตุการณ์ฝนตกที่เคยมีคาบ 300 ปี 500 ปี หรือแม้แต่ 1,000 ปี อาจจะได้เห็นบ่อยขึ้นและรุนแรงขึ้นในไม่กี่ปีข้างหน้า หากอุณหภูมิโลกสูงถึง 2.5 องศาเซลเซียส มีงานวิจัยระดับโลกจาก WMO และ IPCC ระบุว่า น้ำทะเลจะสูงขึ้นถึง 2.5 เมตร ซึ่งจะส่งผลให้กรุงเทพฯ ถูกน้ำท่วมอย่างมาก

ทั้งนี้ ข้อมูลจาก German Watch ในปี 2026 ซึ่งเป็นองค์กรไม่แสวงหาผลกำไรของเยอรมัน ที่ทำ Climate Risk Index ระบุว่า อันดับความเสี่ยงด้านสภาพภูมิอากาศของประเทศไทยแย่ลงอย่างมาก โดยจากลำดับที่ 72 ในปี 2022 (จาก 197 ประเทศ) ปัจจุบันประเทศไทยอยู่ในลำดับที่ 17

“การไม่ทำอะไรเลย หรือการทำช้าเกินไป อาจมีค่าใช้จ่ายที่แพงกว่าการเร่งดำเนินการแก้ไขปัญหา”

ความคืบหน้า เป้าหมายระดับโลกและอาเซียน

“ดร.พิรุณ” ได้อัปเดตผลจากการประชุม COP 30 โดยระบุว่า มีเพียง 122 ประเทศจาก 197 ประเทศทั่วโลกเท่านั้นที่ส่งกรอบเป้าหมายของประเทศไทยในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกปี 2035 (พ.ศ. 2578) ซึ่งทำให้การประเมิน Global Stocktaking เพื่อดูว่าเป้าหมายรวมของโลกจะสามารถจำกัดอุณหภูมิไว้ที่ 1.5 องศาเซลเซียสได้หรือไม่นั้น เป็นเรื่องยาก

อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยได้ส่ง NDC 3.0 ซึ่งได้ขยับเป้าหมาย Net Zero ไปยังปี 2050 สอดคล้องกับประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียน เช่น เวียดนาม กัมพูชา มาเลเซีย สิงคโปร์ และบรูไน

เป้าหมาย NDC 3.0 ที่ท้าทายนี้ คือการลดก๊าซเรือนกระจกถึง 109.2 ล้านตัน และเพิ่มการดูดกลับอีก 118 ล้านตัน (จากป่าไม้และเทคโนโลยี) ส่งผลให้ประเทศไทยมีปริมาณการปล่อยสุทธิในปี 2035 อยู่ที่ 152 ล้านตัน CO2e เพื่อให้บรรลุ Net Zero 2050 ซึ่งไม่แตกต่างจาก Carbon Neutrality 2050 จะต้องลดก๊าซเรือนกระจกในภาคส่วนอื่นๆ นอกเหนือจากพลังงาน รวมถึงการใช้เทคโนโลยีที่มีราคาสูง เช่น ไฮโดรเจน, เทคโนโลยีดักจับและกักเก็บคาร์บอน (Carbon Capture and Storage: CCS), เทคโนโลยีดักจับและใช้ประโยชน์คาร์บอน (Carbon Capture and Utilization: CCU) และ SMR/MMR (Small and Medium Modular Reactor)

พรบ.ลดโลกร้อน เครื่องมือขับเคลื่อนสู่เป้าหมาย

“ดร.พิรุณ” เน้นย้ำว่า การขับเคลื่อนเชิงนโยบายและความร่วมมือในปัจจุบันนั้นสามารถพาประเทศไทยไปถึงเป้าหมายปี 2030 ได้เท่านั้น แต่สำหรับการขับเคลื่อนไปสู่เป้าหมายปี 2035 และ Net Zero 2050 จำเป็นต้องมีเครื่องมือใหม่คือ พ.ร.บ. การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (พรบ.ลดโลกร้อน)

"กฎหมายฉบับนี้ถูกออกแบบมาอย่างสมดุลเพื่อสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจใหม่ และเพื่อให้มั่นใจว่าวาระด้านสภาพภูมิอากาศจะดำเนินต่อเนื่อง ไม่ว่ารัฐบาลจะเปลี่ยนไป"

อย่างไรก็ตาม เป้าหมาย Net Zero จะถูกกำหนดไว้ในหมวดที่ 2 ของร่าง พรบ.
กฎหมายฉบับนี้จะเข้ามากำหนดกลไกในการบริหารจัดการเรื่องการปรับตัว เพื่อไม่ให้เกิดความสูญเสียซ้ำซากเช่นเดียวกับเหตุการณ์ที่หาดใหญ่ กรมฯจะไม่พึ่งพาข้อมูลในอดีตเพียงอย่างเดียว แต่จะสนับสนุนการจัดทำข้อมูลการคาดการณ์สภาพภูมิอากาศที่มีความละเอียดสูง

โดยตั้งเป้าที่จะเพิ่มความละเอียดจาก 100x100 ตารางกิโลเมตร เป็น 25x25 ตารางกิโลเมตร และในพื้นที่เสี่ยงสูงอย่างหาดใหญ่ จะพัฒนาให้เป็นระดับ 100x100 ตารางเมตร การมีข้อมูลที่ละเอียดนี้จะช่วยเพิ่มความแม่นยำในการบริหารจัดการ การเตือนภัย และลดความเสียหาย รวมถึงการหยุดชะงักทางเศรษฐกิจ

กลไกการเงินและเครื่องมือทางเศรษฐกิจ

“ดร.พิรุณ” อธิบายว่า พรบ. ฉบับนี้มี 5 เรื่องสำคัญที่อยู่ครบถ้วน โดยเฉพาะกลไกทางการเงินและการตลาด ได้แก่

  • กองทุนการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ: หมวดที่ 4 ของร่าง พรบ. ซึ่งผ่านความเห็นชอบจากกระทรวงการคลังแล้ว กองทุนนี้จะใช้เงินที่จัดเก็บจากกลไกคาร์บอนต่างๆ เพื่อนำกลับไปช่วยเหลือภาคเอกชน ภาคประชาชน ท้องถิ่น และงานวิจัย เพื่อลดคาร์บอนและรองรับภัยพิบัติ โดยจะทำหน้าที่ปิดช่องว่างทางการเงินสำหรับการลดคาร์บอนด้วยเทคโนโลยีราคาสูง
  • การรายงานข้อมูลและการควบคุมการปล่อย: พรบ. จะกำหนดให้ประมาณ 3,000–4,000 นิติบุคคลต้องรายงานการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Scope 1 และ Scope 2) โดยจะมีการกำหนดเพดานการปล่อย (Cap and Trade/ETS) สำหรับนิติบุคคลประมาณ 300 แห่ง
  • Thailand CBAM: กลไกนี้จะถูกนำมาใช้เพื่อสร้าง สนามแข่งขันที่เท่าเทียมกัน ให้ผู้ผลิตในประเทศที่ถูกควบคุมด้านคาร์บอนสามารถแข่งขันกับสินค้าจากประเทศเพื่อนบ้าน เช่น ลาว กัมพูชา มาเลเซีย ได้ โดยจะมีการเก็บค่าธรรมเนียมสำหรับสินค้าที่นำเข้าคล้ายกับ EU CBAM
  • ภาษีคาร์บอน (Carbon Tax): เครื่องมือทางการเงินนี้มีความจำเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากแม้ภาคอุตสาหกรรมจะลดคาร์บอน แต่ประเทศไทยก็อาจไปไม่ถึง Net Zero หากพฤติกรรมของผู้บริโภคไม่เปลี่ยน การจัดเก็บภาษีคาร์บอนจริง (ไม่ใช่ภาษีสรรพสามิตปัจจุบัน) จะทำให้ผู้ส่งออกไทยสามารถนำไปหักลบกับค่าธรรมเนียมภายใต้กลไก EU CBAM ได้ ทั้งนี้ World Bank แนะนำว่าราคาคาร์บอนที่เหมาะสมที่สุดในการมุ่งสู่ Net Zero 2050 คือ 25 เหรียญสหรัฐฯ ต่อตัน ภายในปี 2030
  • Thailand Taxonomy: กฎหมายจะให้ความสำคัญกับการทำงานร่วมกับธนาคารแห่งประเทศไทยเพื่อจัดประเภทการลงทุน (สีเขียว, สีเหลือง/ระยะเปลี่ยนผ่าน, สีแดง) และเน้นย้ำถึงความสำคัญของการสนับสนุนช่วง “สีเหลือง” (transition) เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนผ่านที่ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง

เส้นทางกฎหมายและการบังคับใช้

ร่าง พรบ. การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ มีจำนวน 205 มาตรา 14 หมวด ซึ่งขณะนี้ผ่านความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีแล้ว กรมฯมีเวลาในการตรวจร่างกับคณะกรรมการกฤษฎีกา โดยตั้งเป้าหมายว่ากฎหมายจะพร้อมเสนอสภาผู้แทนราษฎรทันทีหลังการเลือกตั้งและเปิดสภาใหม่ ตามกรอบเวลาที่กำหนดไว้ คาดหวังว่า พรบ. จะผ่านวุฒิสภาและสามารถ บังคับใช้ได้ในช่วงต้นปี 2027 (พ.ศ. 2570)

“ดร.พิรุณ” กล่าวทิ้งท้ายว่า แม้กลไกและเทคโนโลยีเป็นสิ่งสำคัญ แต่ต้นทุนที่ถูกที่สุดและกลับกลายเป็นสิ่งที่ยากที่สุดคือ การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม และทัศนคติของผู้บริโภค ซึ่งเป็นความท้าทายที่ประเทศไทยและทั่วโลกต้องเผชิญร่วมกัน