ทูตเยอรมนีแนะทางรอด ‘CBAM’ วัดคาร์บอน-ลงทุนเทค-รายงานความโปร่งใส ต้องทำทันที

ดร.แอ็นสท์ ไรเชิล เอกอัครราชทูตสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี ประจำประเทศไทย แนะ 5 ขั้นตอนทางรอด CBAM สำหรับผู้ประกอบการ
ดร.แอ็นสท์ ไรเชิล เอกอัครราชทูตสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี ประจำประเทศไทย ขึ้นกล่าวบรรยายถึงความสำคัญเชิงยุทธศาสตร์ของความยั่งยืน บนเวที กรุงเทพธุรกิจ Sustainability Forum 2026 Shift Forward: Overcoming Challenges เมื่อวันที่ 3 ธ.ค.2568 ณ สามย่านมิตรทาวน์ ฮอลล์ ชั้น 5 สามย่านมิตรทาวน์ โดยเน้นย้ำถึงบทบาทของเยอรมนีในฐานะผู้บุกเบิกด้านนวัตกรรม รวมถึงโอกาสที่ประเทศไทยจะสามารถคว้าไว้ได้ผ่านความร่วมมือเชิงลึกด้านพลังงานสะอาด และการปรับตัวตามกฎเกณฑ์สากล
ท่านเอกอัครราชทูตฯ ชี้ให้เห็นว่า ความยั่งยืน และโอกาสในการร่วมมือเชิงลึกเพื่ออนาคตที่ยั่งยืนเป็นหัวข้อที่ทั้งเยอรมนีให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาเยอรมนีออกกฎหมาย และมาตรฐานข้อบังคับหลายฉบับที่เกี่ยวข้องกับความยั่งยืน การตรวจสอบตลอดห่วงโซ่อุปทาน และเป้าหมายด้านสภาพภูมิอากาศ ตัวอย่างเช่น กฎหมายคุ้มครองสภาพภูมิอากาศของรัฐบาลกลาง ที่กำหนดเป้าหมายอันทะเยอทะยานที่จะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก 65% ภายในปี 2045
พร้อมระบุว่า การวางกรอบเศรษฐกิจที่เยอรมนีนำมาใช้สามารถเป็นแรงบันดาลใจให้ประเทศไทยนำมาปรับใช้ เพื่อเปลี่ยนความเสี่ยงด้านสภาพภูมิอากาศให้กลายเป็นเรื่องที่คาดการณ์ได้ และมีมูลค่าในการดำเนินการ
ขณะเดียวกัน การปรับตัวสู่มาตรฐานสากลเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากท่านเอกอัครราชทูตฯ ชี้ให้เห็นว่า การปรับตัวให้สอดคล้องกับกรอบการทำงานระดับโลกตั้งแต่เนิ่น ๆ จะช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือ และความสามารถในการเปรียบเทียบของกฎระเบียบ รวมถึงการเข้าถึงตลาดทุน และการส่งออกทั่วโลกได้อย่างต่อเนื่อง
ในปี 2026 ยุโรปจะเริ่มบังคับใช้กลไกการปรับตัวทางคาร์บอนข้ามพรมแดน (Carbon Border Adjustment Mechanism - CBAM) ซึ่งจะเก็บค่าธรรมเนียมกับผู้ส่งออกสินค้าบางประเภทที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูง เช่น เหล็ก, อะลูมิเนียม, ปูนซีเมนต์, ปุ๋ย และไฟฟ้า ตามปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในกระบวนการผลิต เพื่อให้ราคาสินค้านำเข้าเทียบเท่ากับสินค้าที่ผลิตภายในสหภาพยุโรป ซึ่งประเทศไทยก็จะได้รับผลกระทบด้วยเช่นกัน
หากประเทศไทยมีการนำระบบการซื้อขายการปล่อยก๊าซเรือนกระจก มาใช้ภายใต้ร่างพระราชบัญญัติการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ หรือ พ.ร.บ. โลกร้อน และมีการเก็บค่าธรรมเนียมจากอุตสาหกรรมที่ปล่อยมลพิษสูงอย่างเป็นธรรม ผลกระทบจาก CBAM ต่อธุรกิจจะลดลง โดย ดร.แอ็นสท์ เชื่อมั่นว่า การปรับใช้ขั้นสุดท้ายของกรอบกฎหมายนี้จะเป็นการเตรียมความพร้อมสำหรับการค้า และการลงทุนระดับโลก ที่สามารถช่วยเศรษฐกิจของไทยในอนาคตได้
ขณะเดียวกัน เยอรมนีเป็นคู่ค้าทวิภาคีที่ใหญ่ที่สุดของประเทศไทยในโครงการด้านสภาพภูมิอากาศ ซึ่งโครงการเหล่านี้ครอบคลุมอุตสาหกรรมต่างๆ ทั้งพลังงานสีเขียว การขนส่งคาร์บอนต่ำ การเปลี่ยนแปลงอุตสาหกรรม และความหลากหลายทางชีวภาพ ซึ่งเยอรมนีสามารถสนับสนุนประเทศไทยในด้านเทคโนโลยีพลังงานสะอาด และไฮโดรเจนสีเขียว
ดร.แอ็นสท์ เชื่อว่า หากทั้งภาคอุตสาหกรรม รัฐบาล ภาคประชาสังคม และพันธมิตรระหว่างประเทศทำงานร่วมกัน จะสามารถสร้าง "พันธมิตรสีเขียว" (green partnership) ที่เป็นประโยชน์ต่อโลกได้
“ผมเชื่อมั่นอย่างยิ่งว่า หากเราทำงานร่วมกัน ทั้งอุตสาหกรรม รัฐบาล ภาคประชาสังคม และพันธมิตรระหว่างประเทศ เราสามารถสร้างพันธมิตรสีเขียวที่มีผลกระทบจริง เป็นประโยชน์ต่อผู้คน โลก และเศรษฐกิจ”
สำหรับภาคธุรกิจไทยที่ทำหน้าที่เป็นผู้ส่งออก ผู้ผลิต หรือผู้มีส่วนร่วมในห่วงโซ่อุปทาน ท่านเอกอัครราชทูตฯ ได้เสนอสิ่งที่ควรเริ่มต้นดำเนินการทันที 5 ประการ อันดับแรกจะต้อง เริ่มวัดผล และจัดทำเอกสาร การปล่อยคาร์บอน และผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม จากนั้นต้องสร้างระบบ และความสามารถในการติดตามการใช้พลังงาน วัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และกระบวนการผลิตที่สะอาดขึ้น
ตามมาด้วย การลงทุนในเทคโนโลยีคาร์บอนต่ำ และเครื่องจักรที่มีประสิทธิภาพด้านพลังงาน ซึ่งจะให้ผลตอบแทนในระยะกลางถึงระยะยาว ถัดมาเป็นการนำการรายงานความยั่งยืนที่โปร่งใส และน่าเชื่อถือมาใช้ เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับผู้ซื้อ และนักลงทุนชาวยุโรป และสุดท้ายคือ การสำรวจความเป็นไปได้ของการร่วมทุน และการเป็นพันธมิตรในการถ่ายโอนเทคโนโลยีสีเขียว และการเงิน
ท่านเอกอัครราชทูตฯ สรุปว่าภูมิทัศน์ของความยั่งยืนไม่ได้เป็นเพียงความกังวลทางเลือกอีกต่อไป ด้วยกฎหมาย และมาตรการที่เน้นความยั่งยืนใหม่ๆ ที่กำลังจะมีผลบังคับใช้ ประเทศไทยมีโอกาสพิเศษในการก้าวไปสู่เศรษฐกิจที่แข่งขันได้ และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น และความสำเร็จนี้ต้องการความมุ่งมั่น และการร่วมมือ โดยทิ้งท้ายด้วยคำเรียกร้องให้เปลี่ยนความรู้ความเข้าใจให้กลายเป็นการลงมือทำทันที เนื่องจากโอกาสอยู่ตรงหน้าแล้ว
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์







