ปตท. ชู 'CCS’ กุญแจสำคัญเร่งปลดล็อกกฎหมาย-มาตรการจูงใจ สู่เป้า Net Zero

"ปตท." ชู ‘Big Move get More with CCS’ เร่งปลดล็อกกฎหมาย และมาตรการจูงใจ ยืนยัน เทคโนโลยี CCS กุญแจสำคัญสู่เป้าหมาย Net Zero ของประเทศ
นายรัฐกร กัมปนาทแสนยากร รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ความยั่งยืนองค์กร บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) กล่าวในงาน Special Talk: Regulations for Facilitating Sustainability Goals ในหัวข้อ "Big Move get More with CCS" ว่า การขับเคลื่อนเรื่อง Carbon Capture and Storage (CCS) ขนาดใหญ่ และได้รับผลประโยชน์ที่คุ้มค่า (Big Move, get more) นั้น เป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งยวดเพื่อให้การลดคาร์บอนของประเทศไทยบรรลุเป้าหมาย
โดยความจำเป็นเร่งด่วนในการลดคาร์บอนนั้น ประชาคมโลกได้ให้คำมั่นว่าจะควบคุมอุณหภูมิโลกไม่ให้เพิ่มขึ้นเกิน 1.5 องศาเซลเซียส จากยุคก่อนอุตสาหกรรม ปัจจุบันอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกอยู่ที่ 1.42 องศาเซลเซียส แม้ยังไม่ถึง 1.5 องศา แต่โลกกำลังเผชิญกับภัยพิบัติอย่างมากมาย โดยเฉพาะในประเทศไทย เช่น เหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ที่หาดใหญ่ในปีนี้
อย่างไรก็ตาม แม้มีการให้คำมั่นไว้ทั่วโลกในการประชุม COP30 แต่แนวโน้มที่ดีที่สุดในขณะนี้ คาดว่าอุณหภูมิโลกจะยังคงอยู่ที่ 1.9 - 2.2 องศาเซลเซียส ซึ่งหมายความว่าเรายังไม่ได้อยู่บนเส้นทางที่จะทำให้อุณหภูมิคงที่ 1.5 องศาเซลเซียส ดังนั้น การปรับตัว การประเมินความเสี่ยง และการเตรียมพร้อมจึงเป็นเรื่องสำคัญ
นายรัฐกร กล่าวว่า การเดินหน้าสู่การลดคาร์บอน (Decarbonization) จำเป็นต้องทำด้วยความรอบคอบ และระมัดระวังในการลงทุน หากเดินหน้าเร็วเกินไป อาจทำให้มีต้นทุนสูงกว่าคู่แข่ง และเสียความสามารถในการแข่งขัน แต่ที่แย่กว่านั้นคือ หากเดินหน้าช้าเกินไป ประเทศไทยอาจเสียโอกาส โดยธนาคารโลก (World Bank) ประเมินว่าไทยอาจเสียมูลค่าการส่งออกมากกว่า 60,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ GDP อาจลดลงกว่า 7%
อย่างไรก็ตาม ภาคพลังงานเป็นหนึ่งในภาคส่วนที่ปล่อยคาร์บอนมากที่สุด ในการพูดถึงพลังงาน ต้องคำนึงถึง Energy Trilemma หรือ 3 ปัจจัยหลัก ได้แก่ 1. ความมั่นคงทางพลังงาน 2. ราคาที่เข้าถึงได้ และเหมาะสม และ 3. พลังงานที่สะอาด หรือ Sustainability
ในอนาคตของ Global Energy Mix รวมถึงของประเทศไทยในปี 2050 การใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล (Fossil Fuel) เช่น ก๊าซธรรมชาติ น้ำมัน หรือถ่านหิน จะยังคงมีอยู่ เพราะยังตอบโจทย์เรื่องความมั่นคง และราคาที่เข้าถึงได้ แต่เพื่อให้ตอบโจทย์ด้านความยั่งยืนหรือความสะอาด และบรรลุเป้าหมาย Net Zero การลดคาร์บอนจึงจำเป็นอย่างยิ่ง โดยเทคโนโลยีหลักที่จะมาตอบโจทย์นี้คือ CCS
ทั้งนี้ CCS คือ กระบวนการที่มี 3 ส่วน ประกอบด้วย 1. การดักจับคาร์บอน (Capture) มี 2 รูปแบบหลัก คือ การดักจับที่แหล่งกำเนิด (Point Source) เช่น โรงงานไฟฟ้า โรงเหล็ก โรงเคมี หรือการดักจับคาร์บอนจากอากาศโดยตรง (Air Direct Air Capture) 2. การขนส่ง (Transport) ขนส่งคาร์บอนที่จับมาได้ผ่านท่อ (Pipeline) หรือการขนส่งทางเรือ และ 3. การกักเก็บ (Storage) นำคาร์บอนไปฝังเก็บ (Storage) ทั้งบนบก (Onshore) หรือใต้ทะเล (Offshore) และหากนำคาร์บอนที่จับมา ไปแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ที่มีมูลค่า จะเรียกว่า CCU (Capture Utilization)
นายรัฐกร กล่าวว่า ปัจจุบันโลกปล่อยคาร์บอนประมาณ 53,000 ล้านตันต่อปี เพื่อให้โลกเข้าสู่ Net Zero ภายในปี 2050 มีการประเมินว่าเทคโนโลยี CCS จะมีความต้องการในการกักเก็บประมาณ 10% หรือ 4,500 ล้านตัน อย่างไรก็ตาม วันนี้มีแผนการลงทุนเพียง 10% ของความต้องการนี้ (ประมาณ 400 ล้านตัน) และมีที่ดำเนินการอยู่จริงเพียงไม่ถึง 2% (ประมาณ 50 ล้านตัน) นี่คือ โอกาสสำคัญทางธุรกิจ
"สำหรับประเทศไทยปล่อยคาร์บอนประมาณ 390 ล้านตันต่อปี หากต้องการบรรลุ Net Zero ในปี 2050 จะต้องมีศักยภาพในการกักเก็บคาร์บอนประมาณ 60 ล้านตัน หรือประมาณ 15% ของปริมาณการปล่อย"
ดังนั้น ตามเป้าหมายของประเทศไทยใน NDC 3.0 ที่ได้ให้คำมั่นไว้ใน COP30 ไทยจะต้องลดคาร์บอนให้ได้ประมาณ 110 ล้านตัน ภายในปี 2035 การลดคาร์บอนจะต้องเริ่มจากเทคโนโลยีที่มีต้นทุนต่ำที่สุด เช่น การเพิ่มประสิทธิภาพของสินทรัพย์ ที่สามารถสร้างกำไรได้ แต่เพื่อลดคาร์บอนในปริมาณท้ายๆ ให้ถึงเป้าหมาย จำเป็นต้องใช้เทคโนโลยีที่มีต้นทุนสูงกว่าเข้าช่วย ซึ่งได้แก่ CCS
ทั้งนี้ เพื่อให้ประเทศไทยสามารถบรรลุเป้าหมาย NDC 3.0 โดยภายในปี 2035 จำเป็นต้องมีโครงการ CCS สำคัญ 2 โครงการ คือ
1. โครงการ CCS อาทิตย์ (Arthit CCS Project) เป็นโครงการนำร่อง (Pilot Project) ของกลุ่ม ปตท.สผ. มีขนาด 1 ล้านตันต่อปี โครงการนี้เริ่มนับหนึ่งแล้ว โดยเป็นการพิสูจน์ว่าการดักจับ CO2 ที่แท่นก๊าซ และนำไปเก็บใต้ทะเลสามารถทำได้อย่างมีประสิทธิภาพ
2. โครงการ Eastern Thailand CCS Hub (CCS Hub) เป็นโครงการขนาดใหญ่ขึ้น มีขนาดประมาณ 9 ล้านตันต่อปี โครงการนี้มีหลักการคือ จะไปดักจับคาร์บอนจากโรงงานอุตสาหกรรมในพื้นที่ Eastern Seaboard (EEC) ทั้งจากกลุ่ม ปตท. และนอกกลุ่ม ปตท. จากนั้นจะขนส่ง CO2 มาที่ Terminal มาบตาพุด และส่งไปเก็บในพื้นที่อ่าวไทย ปัจจุบัน ปตท. กำลังขออนุมัติคณะรัฐมนตรีเพื่อเข้าไปสำรวจความจุในการเก็บในอ่าวไทย
นายรัฐกร กล่าวว่า การดำเนินการเรื่อง CCS ของกลุ่ม ปตท. จะเริ่มจาก 1 ล้านตัน (โครงการอาทิตย์) จะเพิ่มเป็น 10 ล้านตัน (รวม CCS Hub) จากนั้นจะเพิ่มเป็น 19 ล้านตัน และขยับไปถึง 60 ล้านตัน ภายในปี 2050 เพื่อนำพาประเทศไปสู่เป้าหมาย Net Zero
ดังนั้น กลุ่ม ปตท. ได้สรุป Key Success Factor ในการดำเนินธุรกิจ CCS ไว้ 3 ด้าน คือ 1. การลดต้นทุนเทคโนโลยี ต้องพัฒนาเทคโนโลยีการดักจับคาร์บอนให้มีต้นทุนต่ำที่สุด เพื่อให้โครงการมีความเป็นไปได้ในการลงทุน 2.โมเดลธุรกิจที่แข่งขันได้ ต้องคิดค้นโมเดลธุรกิจที่ทำให้ต้นทุนในการลดคาร์บอนต่ำที่สุด และ 3. กฎระเบียบ และมาตรการจูงใจทางการเงิน (Regulatory and Financial Incentive)
"ภาคเอกชน และภาครัฐต้องทำงานร่วมกัน เพื่อให้มีกฎระเบียบ และกลไกทางการเงินที่จะทำให้โครงการ CCS สามารถเดินหน้าได้อย่างถูกกฎหมาย และมีความเป็นไปได้ในการลงทุน"
นายรัฐกร กล่าวว่า จากการที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้อนุมัติ พ.ร.บ.การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งจะทำให้ประเทศไทยสามารถนับหนึ่งในเรื่องการมีกฎหมาย และ Financial Instrument ต่างๆ ที่จะผลักดันให้การลงทุนในการลดคาร์บอนโดยเฉพาะ CCS เกิดขึ้นในประเทศ ประเทศไทยต้องเรียนรู้จากนานาชาติ ทั้ง อังกฤษหรือมาเลเซียที่มีหน่วยงานขับเคลื่อนนำกลไกเหล่านี้มาปรับใช้ให้เหมาะสมกับบริบทของประเทศ
นอกจากประโยชน์ด้านการลดคาร์บอนแล้ว การขับเคลื่อน CCS ยังสามารถสร้างผลกระทบเชิงบวกทางเศรษฐกิจ อาทิ สามารถสร้างงานได้เพิ่มขึ้นกว่า 10,000 ตำแหน่ง, สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับเศรษฐกิจไทยอีกกว่า 18,000 ล้านบาทต่อปี โดยมูลค่านี้จะเพิ่มขึ้นถึง 6 เท่า เมื่อกำลังการผลิต CCS ขยับไปถึง 60 ล้านตัน
นายรัฐกร กล่าวย้ำว่า Big Move ของ ปตท. คือ การสร้างโมเดลธุรกิจที่แข่งขันได้ การทำงานร่วมกับภาครัฐเพื่อปลดล็อกกฎระเบียบ (PRC) ต่างๆ และการกำหนดมาตรการจูงใจที่จำเป็นต่อการลงทุน ปตท. มุ่งมั่นที่จะเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างความมั่นคงทางพลังงาน และขับเคลื่อนประเทศไปสู่เศรษฐกิจสีเขียว (Green Economy) และเป้าหมาย Net Zero ในปี 2050 โดยมี CCS เป็นเครื่องมือสำคัญในการขับเคลื่อนการลดคาร์บอนของทั้งกลุ่ม ปตท. และประเทศไทย
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์







