GISTDA ชี้ ไทยดาวเทียมไม่พอ เสียเปรียบ ดันเป้าซื้อ 18 ดวง หนุน พ.ร.บ.อากาศสะอาด

GISTDA เผยบทบาทดาวเทียมหนุน ‘พ.ร.บ.อากาศสะอาด’ ชี้ไทยขาดแคลนดาวเทียมต้องลงทุน 2.8 หมื่นล้านบาท พร้อมเร่งผลักดัน พ.ร.บ.กิจการอวกาศ ปั้น Space Economy
KEY
POINTS
- GISTDA เผยบทบาทดาวเทียมหนุน ‘พ.ร.บ.อากาศสะอาด’ ทำงานได้จริง
- ประเทศไทยมีดาวเทียมปฏิบัติการเพียง 2 ดวง จึงต้องพึ่งข้อมูลฟรีจากต่างชาติ
- แผนของ GISTDA: ไทยต้องมี 16–18 ดวง ภายใน 7–8 ปี ต้องลงทุน 28,000 ล้านบาท
- พร้อมเร่งผลักดัน ‘พ.ร.บ.กิจการอวกาศ’ ปั้น Space Economy
- ไทยต้องมีดาวเทียมเพียงพอ เพื่อให้ พ.ร.บ.อากาศสะอาดทำงานได้จริง
ในเวที "กรุงเทพธุรกิจ" Sustainability Forum 2026: Shift Forward: Overcoming Challenges “ดร.ปกรณ์ อาภาพันธุ์” ผู้อำนวยการ สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) หรือ GISTDA กล่าวในหัวข้อ "ธุรกิจปรับตัว รับมือ พ.ร.บ. อากาศสะอาด" โดยเปิดเผยถึงบทบาทสำคัญของเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ ในการสนับสนุนการรับมือกับปัญหามลพิษทางอากาศ โดยเฉพาะฝุ่น PM 2.5 รวมถึงการผลักดัน พ.ร.บ. กิจการอวกาศ เพื่อสร้างเศรษฐกิจอวกาศใหม่ให้กับประเทศ โดยเน้นย้ำถึงความจำเป็นในการลงทุนด้านดาวเทียมเพื่อตอบสนองความต้องการของประเทศอย่างแท้จริง
“ดร.ปกรณ์” อธิบายว่า ดาวเทียมที่โคจรอยู่เหนือโลกสามารถตรวจจับการเปลี่ยนแปลงของชั้นบรรยากาศได้ตลอดเวลา โดยสามารถตรวจวัดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ไนโตรเจน ความร้อน และความชื้น ข้อมูลนี้ช่วยให้เราทราบว่ากลุ่มอากาศที่เปลี่ยนไปนั้นอยู่ตรงไหน มีความร้อนเพิ่มขึ้นบริเวณใด และอากาศกำลังเคลื่อนตัวมาจากทิศทางใด อาจจะมาจากประเทศเพื่อนบ้านหรือพื้นที่ใกล้เคียง
ข้อมูลดาวเทียมเหล่านี้มีความสำคัญอย่างยิ่งในการรับมือกับมลพิษ โดยเฉพาะฝุ่น PM 2.5 ซึ่ง GISTDA ใช้ระบบปัญญาประดิษฐ์ (AI) และแมชชีนเลิร์นนิ่ง (Machine Learning) ในการประมวลผลข้อมูล ทำให้สามารถทราบปริมาณฝุ่น PM 2.5 ในทุกๆ ตารางกิโลเมตร และทุกชั่วโมง
แม้ว่าเซนเซอร์บนพื้นดินจะให้ข้อมูลที่แม่นยำ ณ จุดที่ติดตั้ง แต่ “ดร.ปกรณ์” ระบุว่า GISTDA ได้นำข้อมูลดาวเทียมมาปรับเทียบกับเซนเซอร์บนพื้นดิน ทำให้ข้อมูลดาวเทียมมีความละเอียดแม่นยำมากยิ่งขึ้น และสามารถให้ข้อมูลครอบคลุมในพื้นที่ที่ไม่มีเซนเซอร์ได้
“ทุกวันนี้เราพยายามส่งเสริมการใช้แอปพลิเคชันที่ชื่อว่า ‘เช็กฝุ่น’ ซึ่งพัฒนาโดย GISTDA เอง เพื่อติดตามดูฝุ่นในพื้นที่บ้านเรา แอปพลิเคชันนี้แม่นยำเพราะให้ข้อมูลทุกตารางกิโลเมตรและทุกชั่วโมง”
ข้อมูลเหล่านี้มีความเกี่ยวข้องโดยตรงกับ พ.ร.บ. อากาศสะอาด ที่กำลังรออยู่ อย่างไรก็ตาม GISTDA เน้นย้ำว่า การให้ข้อมูลไม่ได้มีเจตนาเพื่อการลงโทษเป็นหลัก แต่มีไว้เพื่อเป็นไกด์ไลน์ให้ประชาชน เกษตรกร หรือผู้ประกอบการ ได้ตระหนักรู้ ปรับปรุงตัว และใช้เป็นหลักฐานในการพิสูจน์ตนเอง
แผน 7 ปี ดาวเทียม 18 ดวง ลงทุน 2.8 หมื่นล้าน
“ดร.ปกรณ์” ระบุว่า ปัจจุบันประเทศไทยมีดาวเทียมปฏิบัติการอยู่เพียง 2 ดวง ซึ่งไม่เพียงพอต่อการตอบสนองความต้องการด้านข้อมูลของประเทศ ทั้งในเรื่องการเกษตร ภัยพิบัติ และความมั่นคง ประเทศไทยมีความต้องการดาวเทียมรวมประมาณ 16-18 ดวง เพื่อตอบโจทย์ความต้องการเหล่านี้
“ทุกวันนี้ที่ GISTDA ให้ข้อมูลอยู่ก็มาจากการใช้ข้อมูลฟรีจากต่างชาติเป็นส่วนใหญ่ แต่ความถี่ของข้อมูลนั้นไม่เพียงพอต่อความต้องการของรัฐบาล และประชาชน”
หากเมฆมาบดบัง การถ่ายภาพจากดาวเทียมปกติจะไม่เห็น ทำให้จำเป็นต้องใช้ดาวเทียมประเภทเรดาร์ที่สามารถทะลุเมฆได้ ซึ่งประเทศไทยยังไม่มีข้อมูลส่วนนี้ และต้องซื้อหรือขอความช่วยเหลือจากนานาชาติ
GISTDA จึงได้จัดทำแผน 7-8 ปี ที่จะมีดาวเทียมให้ครบ 18 ดวง ซึ่งต้องใช้เงินลงทุนประมาณ 28,000 ล้านบาท หรือเฉลี่ยปีละประมาณ 4,000 ล้านบาท การลงทุนนี้มีความคุ้มค่าสูง เพราะหากสามารถพยากรณ์ภัยพิบัติได้แม่นยำ ก็จะช่วยลดความเสียหายได้เป็นจำนวนมาก เช่น หากการลงทุนนี้ช่วยลดความเสียหายได้ 3,000 ล้านบาทต่อปี ก็ถือว่าคุ้มค่าแล้ว
ดัน พ.ร.บ. กิจการอวกาศ ปูทางสู่ Space Economy
“ดร.ปกรณ์” ระบุว่า ในปัจจุบันข้อมูล และเทคโนโลยีอวกาศไม่ใช่เรื่องราคาแพงอีกต่อไป และเป็นโอกาสของประเทศในการสร้างธุรกิจ และเศรษฐกิจอวกาศ (Space Economy)
พ.ร.บ.กิจการอวกาศ ถูกยกขึ้นมาเพื่อส่งเสริมกิจการด้านนี้ ซึ่งมีเป้าหมายในการสร้างงานใหม่ๆ และปกป้องธุรกิจในประเทศจากต่างชาติ ปัจจุบันร่าง พ.ร.บ. ดังกล่าวได้ผ่านความเห็น
ชอบของคณะรัฐมนตรี (ครม. ยุคก่อน) และผ่านคณะกรรมการกฤษฎีกามาเมื่อ 4 เดือนที่แล้ว และกำลังเตรียมเข้าสู่สภาผู้แทนราษฎร
หนึ่งในสาระสำคัญของร่าง พ.ร.บ.กิจการอวกาศ คือการส่งเสริมการสร้างธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับอวกาศ รวมถึงการสร้าง ‘Space Port’ (ฐานยิงจรวด) ซึ่งประเทศไทยอยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสม (ใกล้เส้นศูนย์สูตร) ในทางเทคนิคสำหรับการยิงจรวด
นอกจากนี้ พ.ร.บ.กิจการอวกาศ ยังจะส่งเสริม Space Tourism (การท่องเที่ยวอวกาศ) ซึ่งปัจจุบันมีบริษัทที่เริ่มขายบริการการเที่ยวรอบๆ ขอบโลกแล้วในราคาประมาณ 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (30 ล้านบาท) ทั้งนี้ ว่าการเกิด พ.ร.บ. นี้เป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง เพราะหากไม่มีกฎหมายที่เกี่ยวข้อง บริษัทต่างชาติจะไม่กล้ามาลงทุนในประเทศไทย
บทบาท GISTDA ด้านความยั่งยืน
"ดร.ปกรณ์" ยังกล่าวถึงบทบาทของ GISTDA ในการสนับสนุนความยั่งยืน โดยยกตัวอย่างกฎระเบียบใหม่ของสหภาพยุโรป (EU) ที่เรียกว่า EUDR (EU Deforestation Regulation) หรือ กฎระเบียบว่าด้วยผลิตภัณฑ์ปลอดการตัดไม้ทำลายป่าของสหภาพยุโรป
หากธุรกิจมีการเผาป่า หรือตัดไม้ทำลายป่า จะถูก EU แบนไม่ให้นำเข้าสินค้า GISTDA ใช้ข้อมูลดาวเทียมในการตรวจสอบเรื่องนี้ โดยมีข้อมูลภาพย้อนหลังไปกว่า 30 ปี และพัฒนาแพลตฟอร์ม “LANDX” หรือ “Land Explorer” ซึ่งเปิดให้ใช้งานฟรี เพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถตรวจสอบ และพิสูจน์ได้ว่าพื้นที่เพาะปลูกของตนเองไม่ได้เกี่ยวข้องกับการตัดไม้ทำลายป่า
ในด้านความร่วมมือระดับนานาชาติ GISTDA ทำงานร่วมกับหน่วยงานด้านการสำรวจโลก (Earth Observation) เช่น NASA (สหรัฐ), NOAA (สหรัฐ), และ JAXA (ญี่ปุ่น) ซึ่งมีการแลกเปลี่ยนข้อมูลกันฟรี
ที่สำคัญ “ดร.ปกรณ์” ยังเปิดเผยว่า ประเทศไทยเป็นประธานคณะกรรมการด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของสหประชาชาติ (UN) ในส่วนที่เกี่ยวกับอวกาศ โดยตนเองทำหน้าที่เป็นประธาน และมีแผนที่จะนำประเด็นเรื่อง หมอกควันข้ามพรมแดน เข้าสู่การประชุมของ UN ในเดือนกุมภาพันธ์ เพื่อให้เป็นวาระระหว่างประเทศ
ศักยภาพสู่กระทรวงอวกาศ
เมื่อถูกถามถึงความเป็นไปได้ในการขยาย GISTDA ให้เป็นกระทรวงอวกาศ "ดร.ปกรณ์" กล่าวว่า เรื่องของอวกาศและภูมิสารสนเทศเกี่ยวข้องกับทุกกระทรวง แม้ว่าการเป็นกระทรวงจะทำให้อำนาจเด็ดขาด และงบประมาณมากขึ้น แต่เขามองว่าอาจจะไม่ถึงขนาดกระทรวง แต่ควรเป็นหน่วยงานหลักที่มีขนาดใหญ่ และจัดตั้งขึ้นเพื่อจัดการเรื่องนี้โดยเฉพาะ ปัจจุบัน GISTDA มีพนักงานอยู่ประมาณ 300 คน
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์







