‘SABIC’ พาเอเชียก้าวผ่านความไม่แน่นอนของโลกที่เปลี่ยนไป ใน Boao Forum for Asia Riyadh Conference 2025

SABIC ร่วมจัดการประชุม Boao Forum for Asia Riyadh Conference 2025 พาเอเชียก้าวผ่านความหลากหลายทางเศรษฐกิจ และความไม่แน่นอนในโลกที่เปลี่ยนแปลง
KEY
POINTS
- SABIC ในฐานะพันธมิตรทางยุทธศาสตร์ของการประชุม Boao Forum for Asia (BFA) Riyadh Conference 2025 มีบทบาทสำคัญในการผลักดันความร่วมมือเพื่อพาเอเชียก้าวผ่านความไม่แน่นอนของโลก
- การประชุมมุ่งเน้นการเปลี่ยนผ่านสู่ความหลากหลายทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาคและการพัฒนาที่ยั่งยืน เพื่อเป็นแนวทางรับมือกับความท้าทายและสร้างการเติบโตที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม
- ที่ประชุมเรียกร้องให้ประเทศในเอเชียร่วมมือกันส่งเสริมการพัฒนาที่เปิดกว้าง ขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสีเขียวและดิจิทัล เพื่อสร้างความยืดหยุ่นทางเศรษฐกิจ
การประชุม Boao Forum for Asia (BFA) Riyadh Conference ประจำปี 2025 จัดขึ้นเป็นครั้งที่สองระหว่างวันที่ 26-27 พฤศจิกายน 2025 ณ โรงแรมคราวน์ พลาซา รียาด อาร์ดีซี กรุงรียาด ราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย
การประชุมในครั้งนี้ จึงถือเป็นเวทีสำคัญระดับสูงที่ผู้นำรัฐบาล ผู้บริหารธุรกิจระดับโลก และผู้เชี่ยวชาญ จากนานาประเทศมาร่วมประชุม มุ่งเน้นความร่วมมือระดับภูมิภาคและระดับโลกเพื่อรับมือกับความท้าทายที่เร่งด่วนของโลกในปัจจุบัน
สำหรับหัวข้อหลักในการประชุมปีนี้ คือ “การเปลี่ยนผ่านสู่ความหลากหลายทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค และการพัฒนาที่ยั่งยืน” (Transition Towards Regional Economic Diversification and Sustainable Development) สอดคล้องกับแนวโน้มการพัฒนาโลก และยกระดับความร่วมมือระดับภูมิภาค
ตอนนี้โลกกำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนในรอบศตวรรษ เข้าสู่ยุคแห่งความไม่แน่นอน และการเปลี่ยนแปลง ขณะที่การเติบโตทางเศรษฐกิจขาดแรงผลักดัน ทุกประเทศจำเป็นต้องหาทางปรับเปลี่ยนกระบวนทัศน์ทางเศรษฐกิจตามเศรษฐกิจโลกที่กำลังเปลี่ยนจากการพึ่งพาทรัพยากรไปสู่การเติบโตที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม โดยเฉพาะโครงการริเริ่มด้านสิ่งแวดล้อม และคาร์บอนต่ำ
ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วนี้ โลกยังต้องเจอกับการความไม่แน่นอนมากขึ้น การแบ่งแยกมากขึ้น และอันตรายมากขึ้น จากความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ และความขัดแย้งในยูเครน และกาซา ประกอบกับลัทธิเอกภาคีนิยม และการกีดกันทางการค้าที่หลายประเทศเริ่มหันมาใช้มากขึ้น
นายบัน คี มูน ประธานคณะกรรมการ BFA และอดีตเลขาธิการสหประชาชาติคนที่ 8 ได้กล่าวเปิดงานและเน้นย้ำถึงความจำเป็นเร่งด่วนของการทำงานร่วมกันในระดับโลกเพื่อจัดการกับความท้าทายเหล่านี้
“ไม่มีประเทศใดในโลกนี้ แม้จะทรงพลัง และมีทรัพยากรมากเพียงใดก็ตาม จะสามารถทำสิ่งต่างๆ ได้เพียงลำพัง เมื่อพูดถึงการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เราทุกคนต้องร่วมมือกัน นั่นคือ บทเรียนอันหนักหน่วงที่ผมได้เรียนรู้มา”
บัน คี มูน กล่าวเสริมว่า แม้ส่วนตัวจะไม่มีความรับผิดชอบทางการเมืองในขณะนี้ แต่ยังจำเป็นต้องมีความรับผิดชอบทางศีลธรรม และหากรัฐบาลที่มีความรับผิดชอบทางการเมืองร่วมมือกับผู้นำพลเรือนที่มีความรับผิดชอบทางศีลธรรมแล้ว จะสามารถทำได้ทุกอย่าง พร้อมย้ำเตือนว่าทุกคนต้องร่วมมือกันเพื่อคนรุ่นต่อไป ซึ่งมีสิทธิที่จะได้อาศัยอยู่ในโลกที่ยั่งยืน และเป็นมิตรต่อสภาพภูมิอากาศ
ขณะที่ เหลียง ชุน-หยิง รองประธานคณะกรรมการแห่งชาติชุดที่ 14 ของสภาที่ปรึกษาทางการเมืองของประชาชนจีน กล่าวเน้นย้ำถึงความจำเป็นในการปรับตัวของนานาชาติในยุคที่เต็มไปด้วยความผันผวนนี้
“การเติบโตทางเศรษฐกิจขาดแรงผลักดัน ทำให้การปรับเปลี่ยนกระบวนทัศน์กลายเป็นทางเลือกที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้สำหรับทุกชาติ เพื่อรับมือกับความไม่แน่นอน และกำหนดทิศทางการพัฒนาในเชิงรุก จึงผลักดันให้เอเชีย กลายเป็นกลไกสำคัญของการเติบโตทางเศรษฐกิจโลก แบกรับภารกิจสำคัญในการเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลง และส่งเสริมการพัฒนาที่ยั่งยืน”
แม้จะต้องเผชิญกับความท้าทายหลายประการ เช่น การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล และการกระจายเงินทุนสีเขียวที่ไม่ทั่วถึง แต่ประเทศต่างๆ ได้เริ่มขับเคลื่อนแนวทางการเปลี่ยนแปลงเชิงรุก ตัวอย่างที่โดดเด่นคือ “วิสัยทัศน์ 2030” ของซาอุดีอาระเบีย ที่ดำเนินนโยบายกระจายความหลากหลายทางเศรษฐกิจอย่างจริงจัง จนสัดส่วนของอุตสาหกรรมที่ไม่ใช่น้ำมันใน GDP เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
เช่นเดียวกับภาคส่วนเศรษฐกิจใหม่ อย่างภาคการท่องเที่ยวก็มีการเติบโตที่แข็งแกร่ง ขณะที่ จีนเร่งพัฒนายุทธศาสตร์ที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรมในอุตสาหกรรมใหม่ๆ เช่น ยานยนต์พลังงานใหม่ และปัญญาประดิษฐ์ โดยทั้งสองประเทศร่วมมือกันในด้านต่างๆ อาทิ การส่งเสริมการใช้พลังงานดั้งเดิมอย่างสะอาด และการร่วมลงทุนในโครงการโครงสร้างพื้นฐานสีเขียว
การประชุม BFA Riyadh Conference 2025 ตั้งคำถามสำคัญหลายข้อสำหรับผู้เข้าร่วม โดยเฉพาะอย่างยิ่งคำถามเกี่ยวกับความสมดุลระหว่างการเติบโตทางเศรษฐกิจโลกกับการสร้างความหลากหลายทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค และความสำคัญของหลักการสำคัญ 3 ประการของการพัฒนาที่ยั่งยืน ได้แก่ เศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม
มร.อับดุลราห์มาน อัล-ฟากีห์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและคณะกรรมการบริหารของบริษัท SABIC พันธมิตรทางยุทธศาสตร์กิตติมศักดิ์ของการประชุมเป็นปีที่สองติดต่อกัน กล่าวต้อนรับ และเน้นย้ำถึงบทบาทของ SABIC ในการผลักดันการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน SABIC ได้รับการยกย่องว่าเป็นตัวอย่างชั้นนำในภาคอุตสาหกรรม และมุ่งมั่นที่จะบรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี 2050
ความมุ่งมั่นด้านความยั่งยืนของ SABIC มีมาตั้งแต่เริ่มก่อตั้งบริษัท โดยการเปลี่ยนก๊าซส่วนเกินที่ถูกเผาทิ้งให้เป็นผลิตภัณฑ์เคมีภัณฑ์ที่มีประโยชน์ ซึ่ง มร.อัล-ฟากีห์ ได้กล่าวถึงเป้าหมายของการรวมตัวกันในครั้งนี้เพื่อผลักดันการพัฒนาที่ยั่งยืนว่า
“การรวมตัวกันในวันนี้เป็นโอกาสอันดีที่เราทุกคนจะได้สำรวจวิธีสร้างความร่วมมือที่กว้างขวาง และลึกซึ้งยิ่งขึ้น ทั้งในระดับภาคส่วน ระดับภูมิภาค และตลอดห่วงโซ่คุณค่าของผลิตภัณฑ์ สิ่งเหล่านี้จะส่งเสริมการแลกเปลี่ยนสินค้า การลงทุน และการแบ่งปันความรู้ ซึ่งจะนำไปสู่การร่วมทุนเชิงพาณิชย์ที่ช่วยสร้างความหลากหลายทางเศรษฐกิจ ทำให้การเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานเป็นไปอย่างราบรื่น และสนับสนุนความมุ่งมั่นร่วมกันของเราเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน”
มร.อัล-ฟากีห์ ชี้ให้เห็นว่า การทำให้วิสัยทัศน์ความยั่งยืนเป็นจริงนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย จำเป็นต้องอาศัยการทำงานร่วมกันอย่างเข้มแข็ง โดยมีเทคโนโลยี และนวัตกรรมเป็นเสาหลักที่สองของการเติบโตทางเศรษฐกิจ พร้อมเน้นย้ำถึงความสำคัญของการแก้ไขปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม เช่น การลดการปล่อยคาร์บอนในขอบเขตที่หนึ่ง สอง และสาม
รวมถึงการจัดการปัญหาวัสดุเหลือทิ้งผ่านการรีไซเคิล ในด้านสังคม การสร้างความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นผ่านโลกาภิวัตน์ ความร่วมมือ และการเป็นพันธมิตร ตลอดจนการเคารพหลักการธรรมาภิบาลที่ดี และการทำความเข้าใจคนรุ่นใหม่ ซึ่งกลายมาเป็นประชากรส่วนใหญ่ในหลายประเทศ ถือเป็นสิ่งสำคัญต่อการพัฒนาที่ครอบคลุม
เครดิตภาพ: SABIC
ดอน ปรมัตถ์วินัย อดีตรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้เข้าร่วมการประชุมในครั้งนี้ โดยกล่าวว่าจำเป็นต้องหาจุดที่ลงตัว เพื่อก้าวข้ามความท้าทายต่างๆ และกำหนดทิศทางในระดับภูมิภาคและระดับโลกใหม่ พร้อมสร้างสมดุลระหว่าง 3 ปัจจัยหลัก ได้แก่ ประสิทธิภาพ ผลผลิต และเสถียรภาพ
นอกจากประเด็นด้านเศรษฐกิจ และการกระจายความหลากหลายแล้ว การประชุมยังเน้นย้ำถึงความเร่งด่วนในการรับมือกับความท้าทายระดับโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งวิกฤติ
คาดการณ์ว่าภายในสิ้นปี 2025 ผลผลิตทางเศรษฐกิจโดยรวมของเอเชียจะคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 49% ของทั้งหมดทั่วโลก และภูมิภาคนี้มีตลาดขนาดใหญ่ซึ่งครอบคลุม 60% ของประชากรโลก นอกจากนี้ เอเชียยังมีความก้าวหน้าในด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรม โดยการยื่นขอจดสิทธิบัตรในสาขาที่ล้ำสมัย เช่น พลังงานใหม่ และปัญญาประดิษฐ์ มีสัดส่วนมากกว่าครึ่งหนึ่งของโลก
สภาพภูมิอากาศ ก่อนหน้านี้รายงานของโครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติเตือนว่า โลกดำเนินการช้าเกินไปในการจำกัดมลพิษ ซึ่งแทบจะแน่นอนแล้วว่าอุณหภูมิจะเกิน 1.5 องศาเซลเซียส จากยุคก่อนอุตสาหกรรมอย่างแน่นอน ซึ่งหากยังคงดำเนินงานตามปัจจุบัน อุณหภูมิโลกจะพุ่งสูงถึง 2.8 องศาเซลเซียส ซึ่งอันตรายสำหรับทุกคน
อย่างไรก็ตาม ช่วงครึ่งแรกของปี 2025 พลังงานหมุนเวียนได้แซงหน้าเชื้อเพลิงฟอสซิลในฐานะแหล่งผลิตไฟฟ้าอันดับต้นของโลกเป็นครั้งแรก ซึ่งเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาที่กลายเป็นผู้นำในการขับเคลื่อนพลังงานสะอาด เพราะ 58% ของการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์มาจากประเทศที่มีรายได้ต่ำ
เพื่อบรรลุวิสัยทัศน์ในการเปลี่ยนแปลง และการพัฒนาร่วมกัน ประเทศในเอเชียควรทำงานร่วมกันสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการพัฒนา และร่วมมือกันรับมือความท้าทายระดับโลก ด้วยการคัดค้านลัทธิเอกภาคีนิยม และการสร้างกลุ่มกีดกันอย่างแข็งขัน และสนับสนุนระบบระหว่างประเทศที่มีสหประชาชาติเป็นแกนกลาง
นอกจากนี้ จำเป็นต้องส่งเสริมการพัฒนาที่เปิดกว้าง และยกระดับความร่วมมือแบบได้ประโยชน์ร่วมกัน เช่น การลงนามในพิธีสารยกระดับเขตการค้าเสรีจีน-อาเซียน เวอร์ชัน 3.0 และการใช้ศักยภาพของ RCEP ให้เต็มที่
ขณะเดียวกัน ควรต้องขับเคลื่อนกลไกการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสีเขียว และระบบดิจิทัลไปพร้อมกัน เพราะทั้งสองด้านถือเป็นพลังขับเคลื่อนหลัก ซึ่งจำเป็นต้องได้รับการผลักดัน และปลดล็อกข้อจำกัด ระเบียบ และกฎหมายเพื่อส่งเสริมการประสานงานในกฎระเบียบการค้าดิจิทัล
ที่สำคัญ จำเป็นต้องส่งเสริมการบูรณาการระดับภูมิภาค พร้อมทั้งขยายโอกาสสำหรับการพัฒนาที่ยั่งยืน โดยการใช้ประโยชน์จากเวทีต่างๆ และอำนวยความสะดวกให้เกิดการไหลเวียนอย่างเสรีของผลิตภัณฑ์และบริการ
การประชุม BFA Riyadh Conference 2025 จึงเป็นมากกว่าการรวมตัวเพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็น แต่เป็นการตอกย้ำถึงความมุ่งมั่นร่วมกันของเอเชีย และพันธมิตรในการก้าวข้ามความไม่แน่นอน ด้วยการสร้างความยืดหยุ่นทางเศรษฐกิจผ่านนวัตกรรม ความหลากหลาย และความยั่งยืน พร้อมสร้างพันธมิตรบูรณาการในระดับภูมิภาค จะช่วยสร้างตลาดที่กว้างขึ้น และโอกาสความร่วมมือที่หลากหลายสำหรับประเทศอื่นๆ ทั่วโลก
ด้วยการประกาศสานต่อความเป็นพันธมิตรทางยุทธศาสตร์กิตติมศักดิ์ระหว่าง SABIC และ BFA สำหรับปี 2026 จึงเป็นเครื่องยืนยันถึงความมุ่งมั่นที่จะทำงานร่วมกัน เพื่อเขียนบทใหม่แห่งความเจริญรุ่งเรืองของภูมิภาค และผลลัพธ์ที่เป็นประโยชน์ต่อประชาคมโลก
การรับมือกับความท้าทายระดับโลกในปัจจุบัน เปรียบเสมือนการนำเรือขนาดใหญ่แล่นฝ่าพายุที่รุนแรง และคาดเดาไม่ได้ การเปลี่ยนผ่านสู่ความหลากหลายทางเศรษฐกิจ และการพัฒนาที่ยั่งยืนในเอเชียจึงไม่ใช่เพียงการเปลี่ยนเส้นทางเดินเรือ แต่เป็นการสร้างเรือลำใหม่ที่แข็งแกร่งกว่าเดิม โดยมีนวัตกรรมและเทคโนโลยีเป็นเสากระโดงเรือ มีความร่วมมือระหว่างประเทศเป็นลูกเรือ และมีวิสัยทัศน์ร่วมกันเป็นเข็มทิศ เพื่อให้มั่นใจว่าเรือลำนี้จะนำพาคนรุ่นต่อไปไปสู่จุดหมายที่ปลอดภัย และเจริญรุ่งเรืองอย่างแท้จริง
เครดิตภาพ: SABIC
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์







