น้ำท่วมภาคใต้ ชี้ช่องว่าง ไทยยังไร้กรอบ Loss and Damage ในแผนปรับตัวชาติ

น้ำท่วมภาคใต้ ชี้ช่องว่าง ไทยยังไร้กรอบ Loss and Damage ในแผนปรับตัวชาติ

น้ำท่วมภาคใต้ชี้ให้เห็นว่ามาตรการรับมือของไทยไม่เพียงพอต่อผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่รุนแรง ซึ่งเป็นตัวอย่างของ Loss and Damage ที่เกินขีดความสามารถในการปรับตัว

KEY

POINTS

  • เหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ในภาคใต้ชี้ให้เห็นว่ามาตรการรับมือของไทยไม่เพียงพอต่อผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่รุนแรง ซึ่งเป็นตัวอย่างของ "การสูญเสียและความเสียหาย" (Loss and Damage) ที่เกินขีดความสามารถในการปรับตัว
  • นโยบายสภาพภูมิอากาศของไทย โดยเฉพาะแผนการปรับตัวแห่งชาติ (NAP) และเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจก (NDC) ยังขาดกรอบการทำงานที่ชัดเจนเพื่อจัดการกับปัญหาการสูญเสียและความเสียหายโดยตรง
  • ปัจจุบันไทยยังคงจัดการผลกระทบในฐานะ "สาธารณภัย" ซึ่งเน้นการช่วยเหลือฉุกเฉิน ทำให้การประเมินความเสียหายไม่ครอบคลุมต้นทุนที่แท้จริงและไม่เป็นธรรมต่อกลุ่มเปราะบาง
  • มีข้อเสนอให้ผนวกประเด็นการสูญเสียและความเสียหายเข้าไว้ในร่าง พ.ร.บ.การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และยกระดับแผนการปรับตัวแห่งชาติ เพื่อสร้างระบบรองรับและเข้าถึงกองทุนระหว่างประเทศ

“มหาอุทกภัยครั้งใหญ่ที่ภาคใต้(น้ำท่วมภาคใต้)ของไทย โดยเฉพาะ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ที่ผ่านมา ไม่เพียงแต่เป็นเหตุการณ์สภาพอากาศสุดขั้วที่ส่งผลกระทบหนักหน่วงต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนในพื้นที่เท่านั้น แต่ยังเป็นสัญญาณเตือนสำคัญว่าประเทศไทยต้องยกระดับนโยบายสภาพภูมิอากาศ โดยการผนวก ‘การสูญเสียและความเสียหาย’ (Loss and Damage) ให้เป็นเสาหลักควบคู่ไปกับการลดก๊าซเรือนกระจกและการปรับตัวอย่างแท้จริง”

“ธารา บัวคำศรี” ผู้อำนวยการโครงการ Climate Connectors กล่าวว่า หลังจากที่คณะผู้เจรจาของไทยได้เดินทางกลับจากการประชุม COP30 ที่เมืองเบเลง ประเทศบราซิล พร้อมกับเอกสารผลการตัดสินใจและคำสัญญาด้านการเงินสภาพภูมิอากาศจำนวนมาก ประเทศไทยกลับต้องเผชิญกับมหาอุทกภัยครั้งใหญ่ในภาคใต้ทันที ในพื้นที่หาดใหญ่ สงขลา ปัตตานี ยะลา นราธิวาส และเมืองชายแดนที่อยู่ติดกับมาเลเซีย หลายพื้นที่จมอยู่ใต้น้ำสีโคลนขุ่น สะท้อนความเป็นจริงของภัยธรรมชาติที่กำลังเพิ่มความถี่และความรุนแรงขึ้นอย่างต่อเนื่องในโลกที่ร้อนขึ้น

“ในขณะที่คณะผู้แทนไทยใช้เวลาหลายสัปดาห์ในการเจรจาเรื่องการสูญเสียและความเสียหาย รวมถึงความเป็นธรรมทางสภาพภูมิอากาศและการเป็นกลางทางคาร์บอน คำเหล่านั้นกลับกลายเป็นเพียงคำบนกระดาษหากนโยบายสภาพภูมิอากาศในประเทศไม่สามารถปกป้องประชาชนจากผลกระทบที่เกิดขึ้นจริงได้”

การปรับตัวอย่างเดียวไม่พอ

มหาอุทกภัยภาคใต้ครั้งนี้เป็นภาพจำลองที่ชัดเจนของความสูญเสียและความเสียหายที่เกินกว่าความสามารถในการปรับตัวของมนุษย์ หรือที่เรียกว่า Loss and Damage ซึ่งเป็นประเด็นที่ได้รับการพูดถึงอย่างกว้างขวางในเวทีประชุมสหประชาชาติด้านสภาพภูมิอากาศ (UNFCCC) และถูกยกระดับเป็นเสาหลักที่สามของนโยบายสภาพภูมิอากาศ นอกเหนือจากการลดก๊าซเรือนกระจกและการปรับตัว

“แม้ประเทศไทยจะมีเป้าหมายลดก๊าซเรือนกระจก (NDC 3.0) และแผนปรับตัวระดับชาติ (NAP) แล้ว แต่ยังไม่มีกรอบนโยบายหรือโครงสร้างรองรับอย่างชัดเจนสำหรับการจัดการผลกระทบที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ เช่น ความเสียหายต่อบ้านเรือน เกษตรกรรม และระบบนิเวศ รวมถึงความเสียหายทางจิตใจและวัฒนธรรมของชุมชน”

ที่ผ่านมา ประเทศไทยได้พัฒนากฎหมายและแผนแม่บทด้านสภาพภูมิอากาศอย่างต่อเนื่อง หลังเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ในปี 2554 มีการเสริมเขื่อนและระบบป้องกันน้ำท่วม ปรับปรุงการบริหารจัดการน้ำ และเน้นการสร้างความยืดหยุ่นของชุมชนและโครงสร้างพื้นฐาน แต่ความเสียหายที่เกิดขึ้นในมหาอุทกภัยภาคใต้ล่าสุดชี้ให้เห็นว่าการปรับตัวอย่างเดียวไม่เพียงพอที่จะรับมือกับวิกฤตินี้

NDC 3.0 ไม่ระบุแผน Loss and Damage จริงจัง

ประเทศไทยตั้งเป้าจะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิลง 47% ภายในปี 2578 และมุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนในปี 2593 แต่ในเอกสารหลักของประเทศ เช่น แผนแม่บทการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและ NDC 3.0 กลับแทบไม่มีการกล่าวถึง “การสูญเสียและความเสียหาย” อย่างจริงจัง ทั้งที่ในเวทีโลกได้มีการจัดตั้ง “กองทุนเพื่อการสูญเสียและความเสียหาย” เพื่อช่วยประเทศเปราะบางรับมือกับผลกระทบที่หลีกเลี่ยงไม่ได้แล้ว

“ธารา” กล่าวด้วยว่า ความจริงที่เจ็บปวดคือ นโยบายของไทยยังคงมองเรื่องนี้ในฐานะ ‘ปัญหาสาธารณภัย’ โดยกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเป็นหน่วยงานหลักจัดการช่วยเหลือฉุกเฉิน ขณะที่ความเป็นธรรมด้านสภาพภูมิอากาศยังไม่ได้รับการบูรณาการอย่างแท้จริง

ผลที่ตามมาคือ การประเมินความเสียหายยังไม่ครอบคลุมถึงต้นทุนที่แท้จริงของผู้ได้รับผลกระทบ โดยเฉพาะกลุ่มแรงงานนอกระบบ เกษตรกรรายย่อย และคนชายขอบ ที่มักไม่ได้รับความช่วยเหลืออย่างเท่าเทียม และการฟื้นฟูหลังภัยพิบัติมักทำให้ผู้คนเปราะบางขึ้นจากการต้องกู้ยืมเงินหรือขายทรัพย์สินที่ใช้ทำมาหากิน

“เราพลาดโอกาสที่จะเชื่อมโยงปัญหาของคนในท้องถิ่นเข้ากับความรับผิดชอบของประเทศผู้ปล่อยก๊าซเรือนกระจก ทำให้ชุมชนเปราะบางกลายเป็นผู้แบกรับต้นทุนของวิกฤตอย่างเงียบๆ”

4 แนวทางแก้ไข

สำหรับแนวทางแก้ไข “ธารา” เสนอว่า ไทยควรใช้เหตุการณ์มหาอุทกภัยภาคใต้เป็นจุดเปลี่ยน ดังนี้

  • นำ “การสูญเสียและความเสียหาย” เข้าไปในร่าง พ.ร.บ.การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยมีกระบวนการที่มีส่วนร่วมจากประชาชนและชุมชนท้องถิ่นอย่างแท้จริง
  • ยกระดับแผนปรับตัวระดับชาติด้วยภาคผนวกที่ระบุ “ความเสี่ยงตกค้าง” ที่เกินความสามารถในการปรับตัว และกำหนดตัวชี้วัดความสูญเสียที่เชื่อมโยงกับผู้รับภาระ
  • จัดทำ “แผนฟื้นฟูการสูญเสียและความเสียหาย” สำหรับภาคใต้ ที่ไม่ใช่แค่การช่วยเหลือฉุกเฉิน แต่รวมถึงการฟื้นฟูโดยตั้งมาตรฐานใหม่ ปรับระบบคุ้มครองทางสังคมแบบตอบสนองเหตุฉุกเฉิน และตั้งคณะกรรมการระดับจังหวัดที่มีตัวแทนชุมชนเข้ามามีส่วนร่วม
  • เตรียมข้อเสนอโครงการจากชุมชนเพื่อนำเสนอต่อกองทุน Loss and Damage ระหว่างประเทศ

“ถ้านโยบายภูมิอากาศของไทยยังไม่พูดถึงการสูญเสียและความเสียหายอย่างจริงจัง และไม่มีระบบรองรับที่ชัดเจน ก็เท่ากับว่านโยบายเหล่านั้นยังไม่คู่ควรกับอนาคตของสังคมไทยที่เป็นธรรม และมหาอุทกภัยภาคใต้ครั้งนี้ควรจะถูกจดจำเป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้เราเริ่มยอมรับความจริงและสร้างระบบที่ตอบสนองต่อผลกระทบที่แท้จริงของวิกฤตสภาพภูมิอากาศอย่างเป็นธรรม”