ครม.ไฟเขียวร่าง 'พรบ.ลดโลกร้อน' กฎหมายฉบับประวัติศาสตร์ 205 มาตราพลิกอนาคต

วางระบบครม. เห็นชอบหลักการร่าง พ.ร.บ. การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งเป็นกฎหมายโลกร้อนฉบับแรกของไทย มี 14 หมวด 205 มาตรา เพื่อวางกรอบบริหารจัดการและมุ่งสู่เป้าหมาย Net Zero
KEY
POINTS
- ครม. เห็นชอบหลักการร่าง พ.ร.บ. การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งเป็นกฎหมายโลกร้อนฉบับแรกของไทย มี 205 มาตรา เพื่อวางกรอบบริหารจัดการและมุ่งสู่เป้าหมาย Net Zero
- เตรียมนำกลไกราคาคาร์บอนมาบังคับใช้ เช่น ระบบซื้อขายสิทธิปล่อยก๊าซเรือนกระจก (ETS) ภาษีคาร์บอน และมาตรการ CBAM เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันทางการค้า
- จัดตั้ง "กองทุนภูมิอากาศ" เพื่อเป็นแหล่งเงินทุนสนับสนุนโครงการของรัฐและเอกชนในการลดผลกระทบและปรับตัวสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ
วันที่ 2 ธันวาคม 2568 คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบหลักการ ร่างพระราชบัญญัติการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ พ.ศ. … ถือเป็น กฎหมายโลกร้อนฉบับแรกของประเทศไทย ที่วางรากฐานบริหารจัดการสภาพภูมิอากาศทั้งระบบ ตั้งแต่การลดก๊าซเรือนกระจก การปรับตัวต่อความเสี่ยง ไปจนถึงการยกระดับโครงสร้างเศรษฐกิจไทยให้แข่งขันได้ในโลกที่กำลังก้าวสู่ยุคคาร์บอนต่ำเต็มรูปแบบ
นายสุชาติ ชมกลิ่น รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เปิดเผยว่า กฎหมายฉบับนี้เป็นจิ๊กซอว์สำคัญที่จะทำให้ไทยมีเครื่องมือรับมือโลกร้อนอย่างเป็นระบบ และเดินหน้าสู่เป้าหมาย Net Zero ปี 2050 (พ.ศ. 2093) อย่างเป็นรูปธรรม
14 หมวด 205 มาตรา บริหารโลกร้อน
ร่างกฎหมายฯ ประกอบด้วย 14 หมวด 205 มาตรา พร้อมบทเฉพาะกาล กำหนดกรอบบริหารจัดการสภาพภูมิอากาศที่เชื่อมโยง "รัฐ–เอกชน–ประชาชน" เข้าด้วยกันอย่างเป็นระบบ ตั้งเป้าให้หน่วยงานต่างๆ ดำเนินงานสอดคล้องกับนโยบายรัฐบาลภายใต้การกำกับของ นายกรัฐมนตรี นายอนุทิน ชาญวีรกูล ที่สั่งเร่งผลักดันกฎหมายฉบับนี้ให้มีผลบังคับใช้โดยเร็วที่สุด
นายสุชาติ ย้ำว่า ร่างกฎหมายฯ ได้ผ่านการรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกกลุ่มอย่างเป็นทางการ พร้อมปรับปรุงร่างตามข้อเสนอของภาคธุรกิจ เกษตรกร องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และภาคประชาสังคม
ขั้นตอนต่อไปคือเสนอเข้าสู่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาพิจารณารายมาตรา ก่อนส่งเข้าสู่รัฐสภาเพื่อพิจารณาบังคับใช้โดยเร็ว
เดินหน้า ETS–ภาษีคาร์บอน–CBAM–คาร์บอนเครดิต
หนึ่งในหัวใจสำคัญของร่างกฎหมายฯ คือการนำ กลไกราคาคาร์บอน (Carbon Pricing) มาใช้เพื่อให้ภาคธุรกิจเปลี่ยนผ่านสู่การผลิตและการค้ารูปแบบใหม่ที่ไม่เพิ่มภาระต่อสิ่งแวดล้อม เครื่องมือที่เตรียมบังคับใช้ ได้แก่
- ระบบซื้อขายสิทธิปล่อยก๊าซเรือนกระจก (ETS)
- ภาษีคาร์บอนในประเทศ
- มาตรการปรับราคาคาร์บอนข้ามพรมแดน (CBAM) ให้เทียบเคียงมาตรฐาน EU
- ระบบคาร์บอนเครดิต เพื่อส่งเสริมโครงการลดการปล่อยก๊าซและดูดซับคาร์บอน
เครื่องมือเหล่านี้ถือเป็นใบเบิกทาง ให้ผู้ประกอบการไทยแข่งขันได้ในตลาดโลก หลังประเทศคู่ค้าหลายแห่ง เช่น สหภาพยุโรป สหรัฐ และญี่ปุ่น เดินหน้ามาตรการคาร์บอนเข้มข้นอย่างจริงจัง
ตั้งกองทุนภูมิอากาศ คลังเงินใหม่หนุนทั้งรัฐ–เอกชน
ร่างกฎหมายฯ ยังตั้ง "กองทุนภูมิอากาศ" เพื่อให้เกิดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจสำหรับการลงทุนทั้งจากภาครัฐและเอกชนเพื่อเสริมสร้างภูมิคุ้มกันและลดผลกระทบจากความสูญเสียและเสียหายในภาพรวม รวมทั้งสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านระบบเศรษฐกิจให้มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกระดับต่ำจนมีความสามารถแข่งขันทางการค้าในระดับนานาชาติได้ ผ่านโครงการต่างๆ เช่น
- โครงการพลังงานสะอาด
- ระบบเตือนภัยน้ำท่วม–ภัยพิบัติ
- เกษตรยั่งยืน
- การดันอุตสาหกรรมไทยให้ผ่านเกณฑ์คาร์บอนต่ำของตลาดส่งออก
กองทุนนี้ยังจะช่วยลดภาระผู้ประกอบการรายกลาง–รายเล็กที่ต้องลงทุนปรับตัวด้วย
ทำไมกฎหมายนี้สำคัญ
ประเทศไทยเผชิญความเสียหายจากสภาพอากาศสุดขั้วเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็น น้ำท่วมใหญ่ ฝนสุดขั้ว ภัยแล้งยาวนาน PM2.5 จากความแห้งแล้งและไฟป่า และความเสี่ยงต่อระบบอาหารและน้ำ
นอกจากนี้ ไทยกำลังเผชิญแรงกดดันจากประเทศคู่ค้าหลายแห่งที่ใช้มาตรการคาร์บอนข้ามพรมแดน หากไทยไม่มีระบบคาร์บอนตามมาตรฐานสากล สินค้าไทยอาจถูกเก็บภาษีเพิ่มหรือสูญเสียความสามารถแข่งขัน
กฎหมายฉบับนี้จึงเป็นทั้ง โล่ป้องกันประเทศ และเครื่องมือเพิ่มขีดความสามารถทางการค้า ในเวลาเดียวกัน







