ทำไมญี่ปุ่นจึงยอดเยี่ยมในการจัดการภัยพิบัติ

ทำไมญี่ปุ่นจึงยอดเยี่ยมในการจัดการภัยพิบัติ

มีคนพูดถึงเหตุและผลการเกิดมหาอุทกภัยที่หาดใหญ่และอีกหลายจังหวัดของภาคใต้ตอนล่าง รวมทั้งประสิทธิภาพในการรับมือและจัดการภัยพิบัติครั้งนี้ของหน่วยงานต่างๆ ไปมากแล้ว

จึงไม่ขอกล่าวซ้ำอีกในเรื่องที่สื่อสังคมออนไลน์และสื่อกระแสหลักได้กระหน่ำไปก่อนหน้านี้แล้ว 

แต่จะชวนพิจารณาว่าอะไรทำให้ประเทศญี่ปุ่นที่ชีวิตผู้คนต้องอยู่กับภัยพิบัติจนเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันนั้นถึงสามารถจัดการกับเรื่องภัยพิบัติได้อย่างมีสติและมีประสิทธิภาพ ไม่ต้องมีเสียงบ่นก่นด่าทั้งก่อน ระหว่าง และหลังภัยพิบัติเหมือนที่อื่นๆ ในโลก

ทั้งหมดบรรจบลงตรงคำเดียวคือคำว่า “วัฒนธรรม” ที่ครอบคลุมเรื่องราวมากมายตั้งแต่การตระหนักรู้ การเตรียมพร้อมของตนเอง การเคารพและปฏิบัติตามกติกา ความร่วมมือและมีระเบียบวินัย ความคำนึงถึงส่วนรวม ไปจนถึงความอดทน เหล่านี้รวมอยู่ภายใต้วัฒนธรรมแบบคนญี่ปุ่นที่ยากจะหาได้ในชนชาติอื่น

การที่ญี่ปุ่นพบกับภัยพิบัติบ่อยมากๆ โดยเฉพาะจากแผ่นดินไหว พายุ สึนามิ ภูเขาไฟระเบิด หล่อหลอมให้การเอาตัวรอดจากภัยพิบัติและการปฏิบัติตามขั้นตอนการจัดการภัยพิบัติแทรกอยู่ในจิตวิญญาณของคนญี่ปุ่นไม่ว่าจะอยู่ในวัยไหน คนญี่ปุ่นได้เปลี่ยนภัยพิบัติให้กลายเป็นวัฒนธรรม ความรู้ เทคโนโลยี และนโยบาย เพื่อที่จะเอาตัวรอดให้ได้ในยามวิกฤติเสมอ

หนึ่ง ระบบการศึกษาของญี่ปุ่นสั่งสอนให้ทุกคนเข้าใจเรื่องภัยพิบัติ การเตรียมพร้อม และการเอาชีวิตรอดที่สอดแทรกในการศึกษาตั้งแต่ระดับอนุบาลไปจนตลอดชีวิต พร้อมทั้งมีการฝึกซ้อมอยู่บ่อยๆ ทั่วประเทศ บางโรงเรียนฝึกกันทุกเดือนหรือบ่อยกว่านั้น ทั้งการป้องกันตนเอง การอพยพ การใช้อุปกรณ์ฉุกเฉิน รวมถึงการตั้งสติ 

ทุกครอบครัวมีชุดยังชีพประจำบ้านที่เตรียมพร้อมไว้สำหรับการหยิบฉวย และจะต้องหมั่นนำอุปกรณ์ในชุดยังชีพออกมาตรวจสอบการใช้งานอยู่เป็นประจำด้วย วัฒนธรรมนี้ฝังรากลึกทั้งในโรงเรียนและในครอบครัว เพราะวัฒนธรรมญี่ปุ่นคือวัฒนธรรมแห่งการป้องกันและเตรียมพร้อม (prevention and preparation) ไม่ใช่วัฒนธรรมแห่งการแก้ไขหลังเกิดปัญหา นี่แหละคือความต่างที่เป็นพื้นฐานที่สำคัญยิ่ง

สอง คนญี่ปุ่นมีความเชื่อว่าการเตรียมพร้อมไม่ใช่เรื่องพิเศษ แต่เป็นเรื่องธรรมดาชั้นสามัญสำนึกและเป็นวิถีชีวิตของทุกคนที่ต้องทำเป็นปกติและทำให้เป็นนิสัย สิ่งที่ผู้ใหญ่ทุกคนต้องทำคือ ต้องรู้ให้ขึ้นใจเสมอว่าเส้นทางการอพยพนั้นคือเส้นทางใด ทุกเวลาต้องมีการกักตุนอาหารและน้ำดื่มไว้ในระดับหนึ่งที่เพียงพอต่อการประทังชีวิต 1-3 วัน ต้องตรวจสอบอุปกรณ์ฉุกเฉิน (ไฟฉาย นกหวีด มีดพับ เชือก ฯลฯ) 

ทั้งหมดคือ การเตรียมพร้อมที่เพียงพอที่จะพึ่งพาตัวเองได้ก่อนความช่วยเหลือจะมาถึง ไม่ใช่อยู่โดยไม่มีอะไรและรอคอยความช่วยเหลือด้วยจิตใจที่ร้อนรนหมดหวัง ในใจก็นึกก่นด่าหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและสร้างความกดดันให้กับคนอื่น นอกจากนั้นจะต้องวางแผนดูแลคนเปราะบางที่อยู่ใกล้ตัวทั้งเด็กและคนชราเป็นอันดับต้นด้วย

สาม ทุกคนรับผิดชอบต่อความปลอดภัยของตัวเอง ไม่ใช่รัฐบาล ความตระหนักรู้และการเตรียมพร้อมเป็นนิจอย่างที่กล่าวมาข้างต้นนำไปสู่การสร้างสำนึกว่าความปลอดภัยเป็นหน้าที่ของทุกคนจะหวังพึ่งพาแต่รัฐบาลไม่ได้

หากทุกคนทำในสิ่งที่ควรทำ รู้ว่าต้องไปไหน ต้องทำอะไร เคลื่อนย้ายแบบไหน ฟังใคร สถานการณ์ก็จะผ่อนหนักเป็นเบาได้ ทุกคนต้องมีวินัยและรับผิดชอบความปลอดภัยของตัวเอง ไม่สร้างภาระให้คนอื่น กฎกติกามีไว้เพื่อเคารพ ไม่ต้องมีปากเสียงหรือต้องให้ขู่บังคับกันจนเกิดการทะเลาะวุ่นวาย

สี่ ความรับผิดชอบร่วมกันและความถ้อยทีถ้อยอาศัยทางสังคม วัฒนธรรมของญี่ปุ่นให้คุณค่ากับความร่วมมือ วินัยส่วนบุคคล และความเคารพบุคคลอื่น ดังนั้นไม่ว่าจะเผชิญภัยพิบัติร้ายแรงเพียงใดจะไม่มีภาพการยื้อแย่งหยิบฉวย คนญี่ปุ่นยังคงเข้าคิวอย่างเป็นระเบียบในการเคลื่อนย้ายหรือรับความช่วยเหลือ ยังสื่อสารกันอย่างละมุนละไมและเกื้อกูลกันโดยเฉพาะกับเด็กและผู้สูงวัย 

เหล่านี้จึงทำให้ไม่เคยเกิดข่าวคราวความโกลาหลใดๆ ที่เกิดจากคนเมื่อเกิดภัยพิบัติในญี่ปุ่น ที่สำคัญความคิดที่ว่าภัยพิบัติเป็นเรื่องนอกเหนือการควบคุมของใคร ต้องไม่ตื่นตระหนก รับมือสถานการณ์ด้วยสติ อดทน อดกลั้น และถ้อยทีถ้อยอาศัย เป็นพื้นฐานสำคัญที่ทำให้กระบวนการช่วยเหลือกอบกู้เป็นไปอย่างสะดวกและรวดเร็ว

วัฒนธรรมเช่นนี้จะสร้างได้ก็ด้วยบนพื้นฐานคุณภาพของคนเป็นสำคัญ ต่อให้มีความรู้ เทคโนโลยี ระบบเตือนภัยดีแค่ไหน หรือมีงบประมาณมากเท่าไร หากคนในสังคมยังขาดสำนึกและขาดวัฒนธรรมในการเตรียมความพร้อมและการรับมือกับชีวิตตัวเองในยามเผชิญภัยพิบัติอย่างมีวินัยก็ยิ่งจะเพิ่มความยากลำบากในการจัดการภัยพิบัติมากขึ้น จะมีแต่เสียงโวยวาย เสียงตำหนิติเตียน รวมทั้งความโกลาหลสารพัดที่จะตามมา

ต่อจากนี้ไป จะไม่มีพื้นที่ใดที่ปลอดภัยจากภัยพิบัติด้วยผลจากโลกรวน ประชาชนคนไทยจะต้องถูกล้างสมองกันใหม่ในเรื่องความปลอดภัยและสร้างวัฒนธรรมความเป็นพลเมืองที่มีคุณภาพในยามเผชิญภัยพิบัติ

ข่าวคนแย่งกันรับของแจก ตุนข้าวของที่คนบริจาคช่วยเหลืออย่างเกินงาม คนยิงปืนขู่หน่วยกู้ภัยในบางพื้นที่ หรือคนเข้าไปหยิบฉวยข้าวของในร้านสะดวกซื้อ สะท้อนว่าเรายังห่างไกลจากจุดที่ควรจะเป็นมากนัก

ภัยพิบัติทุกครั้งทำให้คนไทยได้เรียนรู้ แต่เรียนรู้แล้วจะจดจำหรือทำตามไหมก็อีกเรื่องหนึ่ง