PM2.5 แดงเดือด 5 จังหวัด–48 เขต กทม. ซ้ำปัญหาเดิม เร่ง พ.ร.บ.อากาศสะอาด ก่อนสาย

PM2.5 แดงเดือด 5 จังหวัด–48 เขต กทม. ซ้ำปัญหาเดิม เร่ง พ.ร.บ.อากาศสะอาด ก่อนสาย

สถานการณ์ฝุ่น PM2.5 ระดับสีแดงใน 5 จังหวัด และ 48 เขตของกรุงเทพมหานคร มีการเรียกร้องให้เร่งผลักดันร่าง พ.ร.บ.อากาศสะอาดฯ เพื่อแก้ปัญหาที่ต้นตออย่างยั่งยืน แทนการแก้ที่ปลายเหตุแบบเดิมๆ

KEY

POINTS

  • สถานการณ์ฝุ่น PM2.5 เข้าขั้นวิกฤตระดับสีแดงใน 5 จังหวัด และ 48 เขตของกรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นอันตรายต่อสุขภาพ
  • ปัญหาเกิดซ้ำจากสาเหตุเดิมคือการเผาในพื้นที่เกษตรซึ่งมีจุดความร้อนเพิ่มขึ้น ประกอบกับสภาพอากาศปิดทำให้ฝุ่นสะสมตัว
  • มีการเรียกร้องให้เร่งผลักดันร่าง พ.ร.บ.อากาศสะอาดฯ เพื่อแก้ปัญหาที่ต้นตออย่างยั่งยืน แทนการแก้ที่ปลายเหตุแบบเดิมๆ

วันที่ 1 ธันวาคม 2568 สถานการณ์ฝุ่นพิษ PM2.5 ในประเทศไทยทวีความรุนแรงขึ้นจากสัปดาห์ที่ผ่านมา ตั้งแต่ช่วงเช้าตรู่ โดยข้อมูลจาก GISTDA ผ่านแอปพลิเคชัน “เช็คฝุ่น” เวลา 06.00 น. ระบุว่า คุณภาพอากาศทั่วประเทศอยู่ในภาวะน่าเป็นห่วงอย่างยิ่ง หลายพื้นที่กำลังเข้าสู่ระดับที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพของประชาชน

จากการรายงาน 06.00 น. วันนี้ พบว่า 5 จังหวัด อยู่ในระดับ สีแดงสูงสุด ได้แก่

  • สมุทรสาคร 91.4 µg/m³
  • นนทบุรี 84.5 µg/m³
  • กรุงเทพมหานคร 81.6 µg/m³
  • สมุทรปราการ 78.7 µg/m³
  • ปทุมธานี 76.9 µg/m³

ซึ่งหมายถึงคุณภาพอากาศที่ “เป็นอันตรายต่อสุขภาพและระบบทางเดินหายใจ” ขณะที่ 41 จังหวัด อยู่ในระดับ สีส้ม ซึ่งเริ่มมีผลกระทบต่อสุขภาพ โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยง สถานการณ์นี้สะท้อนถึงการกระจายตัวของฝุ่นพิษที่ไม่ได้จำกัดอยู่เฉพาะเมืองใหญ่เท่านั้น แต่ลุกลามไปทั่วทุกภูมิภาค

กรุงเทพมหานคร สถานการณ์ยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้น โดยมี 48 เขตที่ค่าฝุ่น PM2.5 เกินมาตรฐานระดับสีแดง เช่น หนองแขม บางบอน บางแค ทวีวัฒนา ตลิ่งชัน ภาษีเจริญ บางขุนเทียน จอมทอง บางกอกน้อย และบางกอกใหญ่

ซึ่งทั้งหมดล้วนอยู่ในสภาพอากาศที่เป็นอันตรายอย่างยิ่งต่อการใช้ชีวิตประจำวันของประชาชนการคาดการณ์ล่วงหน้า 3 ชั่วโมงยังชี้ว่า ภาพรวมจะยังคงเห็นพื้นที่สีแดงและสีส้มจำนวนมากโดยไม่มีแนวโน้มดีขึ้นในทันที

PM2.5 แดงเดือด 5 จังหวัด–48 เขต กทม. ซ้ำปัญหาเดิม เร่ง พ.ร.บ.อากาศสะอาด ก่อนสาย

ฝุ่นพุ่งต่อเนื่อง

"รศ.ดร.วิษณุ อรรถวานิช" อาจารย์ประจำภาควิชาเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และโฆษกคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ. อากาศสะอาดฯ ระบุว่า สถานการณ์เช้าวันนี้เข้าขั้น “แดงเดือด” โดย ค่าฝุ่น PM2.5 ในกรุงเทพฯ ทั้งค่าเฉลี่ยต่ำสุดและสูงสุด “สูงขึ้นจากเมื่อวาน” (30 พฤศจิกายน) และสถานการณ์แบบเดียวกันกำลังเกิดขึ้นในหลายพื้นที่ของประเทศ ไม่ว่าจะเป็นปริมณฑล ภาคเหนือ ภาคอีสาน ภาคกลาง ภาคตะวันออก และภาคใต้

"น่าเป็นห่วงยิ่งขึ้นเมื่อเริ่มพบ ค่าฝุ่นระดับสีม่วง ในบางพื้นที่ ซึ่งถือว่าเป็นระดับที่อันตรายอย่างมากต่อสุขภาพมนุษย์ โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง"

ทั้งนี้ ข้อมูลจาก GISDTA ยืนยันว่า การเผาในพื้นที่การเกษตรยังเป็นตัวเร่งสำคัญของ สถานการณ์ฝุ่นพิษ โดยพบ จุดความร้อน (Hotspots) เพิ่มขึ้นจาก 542 จุด เป็น 759 จุด ภายในวันเดียว โดยมีรายละเอียดดังนี้

  • นาข้าว: 385 จุด (มากที่สุด)
  • ข้าวโพดและไร่หมุนเวียน: 54 จุด
  • อ้อย: 27 จุด
  • เกษตรอื่น ๆ: 123 จุด

นอกจากนี้ยังพบจุดความร้อนในพื้นที่ป่า 40 จุด และพื้นที่อื่นๆ อีก 79 จุด

"รศ.ดร.วิษณุ" อธิบายว่า ลมได้พัดพาฝุ่นจากพื้นที่เกษตรในภาคกลาง โดยเฉพาะลุ่มเจ้าพระยา เข้าสู่กรุงเทพฯ และปริมณฑล ทำให้ค่าฝุ่นพุ่งสูงขึ้นมากขึ้นไปอีก และเมื่อรวมกับฝุ่นจากรถยนต์ โรงงานอุตสาหกรรม และการจราจรหนาแน่น จึงทำให้สถานการณ์ยิ่งทวีความรุนแรง

ภาคใต้แม้แทบไม่มีการเผา แต่ก็ยังได้รับผลกระทบจาก “ฝุ่นข้ามภูมิภาค” ที่ถูกลมพัดลงมาเช่นเดิม

PM2.5 แดงเดือด 5 จังหวัด–48 เขต กทม. ซ้ำปัญหาเดิม เร่ง พ.ร.บ.อากาศสะอาด ก่อนสาย

ถ้ายังแก้ปลายเหตุ วิกฤติ PM2.5 จะเกิดซ้ำทุกปี

“รศ.ดร.วิษณุ” ชี้ชัดว่า ปัญหาฝุ่นพิษ PM2.5 ในประเทศไทยเกิดขึ้นซ้ำ ๆ มานานหลายปีแล้ว เพราะ โครงสร้างปัญหายังไม่ถูกแก้ไข และการรับมือยังคงเน้นแก้ที่ “ปลายเหตุ” เช่น การฉีดน้ำ การแจกหน้ากาก หรือการเตือนหลีกเลี่ยงออกนอกบ้าน ซึ่งไม่สามารถหยุดต้นตอที่แท้จริงได้

สิ่งที่จำเป็นเร่งด่วนมากที่สุด คือ การผลักดัน ร่าง พ.ร.บ.อากาศสะอาดฯ ให้เสร็จก่อนการยุบสภา และไม่ควรปล่อยให้กฎหมายถูกลดทอนอำนาจ โดยเฉพาะกลไกสำคัญ ได้แก่

  • หลักการ ผู้ก่อมลพิษเป็นผู้จ่าย (Polluter Pays)
  • เครื่องมือทางเศรษฐศาสตร์
  • การตั้งกองทุนอากาศสะอาด

ซึ่งจะทำให้ประเทศไทยสามารถผลักดันมาตรการควบคุมมลพิษที่มีประสิทธิภาพ และช่วยสนับสนุนเกษตรกรรายย่อยและผู้ประกอบการ SME ให้เปลี่ยนผ่านสู่การผลิตที่สะอาดได้จริง

“รศ.ดร.วิษณุ” ยังเตือนให้ประชาชนทั้งหมด โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยง ได้แก่ เด็ก ผู้สูงอายุ ผู้ป่วยโรคทางเดินหายใจ หญิงตั้งครรภ์ หลีกเลี่ยงกิจกรรมกลางแจ้งในช่วงนี้ และควรสวมหน้ากากอนามัยที่สามารถกรองฝุ่น PM2.5 ได้ทุกครั้งเมื่อออกจากบ้าน พร้อมขอความร่วมมือให้ งดกิจกรรมการเผาทุกประเภท เพื่อป้องกันไม่ให้สถานการณ์เลวร้ายลงกว่านี้

PM2.5 แดงเดือด 5 จังหวัด–48 เขต กทม. ซ้ำปัญหาเดิม เร่ง พ.ร.บ.อากาศสะอาด ก่อนสาย

สภาพอากาศไม่เอื้อต่อการระบายฝุ่น

"สรอรรถ สุขหวาน" นักวิชาการสิ่งแวดล้อมชำนาญการ กรมควบคุมมลพิษ (คพ.) เปิดเผยถึงภาพรวมสถานการณ์ฝุ่นละออง PM 2.5 ทั่วประเทศ ระบุว่า สถานการณ์ส่วนใหญ่ในหลายพื้นที่และหลายจังหวัดมีแนวโน้ม "ขยับสูงขึ้น" โดยเฉพาะอย่างยิ่งพื้นที่ที่มีสถานการณ์อยู่ในระดับ "สีส้ม" ซึ่งหมายถึงการเริ่มมีผลกระทบต่อสุขภาพ

โดยสถานการณ์ในแต่ละภูมิภาควันนี้มีรายละเอียดดังนี้

  • กรุงเทพมหานคร และ ปริมณฑล: ภาพรวมสถานการณ์มีการขยับสูงขึ้นในหลายพื้นที่และหลายจังหวัด โดยส่วนใหญ่สถานการณ์อยู่ในระดับสีส้ม ซึ่งเริ่มมีผลกระทบต่อสุขภาพ
  • ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (ภาคอีสาน): สถานการณ์ส่วนใหญ่หลายจังหวัดมีการขยับสูงขึ้นเช่นกัน ขณะนี้หลายจังหวัดในภาคอีสานเป็นสีส้ม โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณอีสานตอนกลาง เช่น จังหวัดขอนแก่น มหาสารคาม และกาฬสินธุ์ สถานการณ์เป็นสีส้ม อย่างไรก็ตาม ยังมี จังหวัดหนองคาย ที่ยังคงต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษ เนื่องจากสถานการณ์ยังคงเป็น "สีแดง" ซึ่งมีผลกระทบต่อสุขภาพ แต่พบว่าค่ารายชั่วโมงเริ่มค่อยๆ ลดลงตามลำดับแล้ว
  • ภาคเหนือ: สถานการณ์ในวันนี้โดยภาพรวมส่วนใหญ่ยังคงอยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน แต่มี 2-3 จังหวัดที่มีการขยับสูงขึ้นจนอยู่ในระดับ สีส้ม ได้แก่ จังหวัดสุโขทัย ลำพูน และเชียงใหม่
  • ภาคตะวันออก: สถานการณ์มีการขยับสูงขึ้นเช่นเดียวกับภาคอื่นๆ โดยบริเวณที่มีสถานการณ์ขยับสูงขึ้นจนอยู่ในระดับ สีส้ม คือ จังหวัดชลบุรี ระยอง ฉะเชิงเทรา และปราจีนบุรี
  • ภาคใต้: สถานการณ์โดยส่วนใหญ่ยังคงอยู่ในเกณฑ์ดี

แนวโน้มล่วงหน้า 7 วัน

สำหรับการคาดการณ์แนวโน้ม สถานการณ์ฝุ่นละอองในช่วง 7 วันข้างหน้า “สรอรรถ” กล่าวว่าหลายภูมิภาคยังคงต้องเฝ้าระวัง ดังนี้

  • กรุงเทพมหานคร และปริมณฑล: ในช่วงสัปดาห์ที่กำลังจะถึงนี้ อาจจะต้องเฝ้าระวังสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง เนื่องจาก สภาพอุตุนิยมวิทยาอาจจะยังไม่เอื้อต่อการระบายของฝุ่นละออง ประกอบกับปริมาณฝุ่นที่มีการสะสมเดิมอยู่ในพื้นที่ ปัจจัยเหล่านี้อาจทำให้สถานการณ์ฝุ่นละอองในช่วงสัปดาห์หน้ายังคง เกินเกณฑ์มาตรฐาน อยู่ได้ในบางพื้นที่
  • ภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (ภาคอีสาน): แนวโน้มสถานการณ์ฝุ่นละอองอาจมีการ ขยับสูงขึ้น ในบางพื้นที่ในช่วงสัปดาห์หน้า
  • ภาคตะวันออก: ยังคงเป็นอีกหนึ่งพื้นที่ที่ต้องเฝ้าระวังเช่นกัน เนื่องจากบางพื้นที่บางจังหวัด สถานการณ์ก็อาจจะมีการ ขยับสูงขึ้นมาได้ เช่นกัน
  • ภาคใต้: แนวโน้มสถานการณ์ยังคง ดีอย่างต่อเนื่อง ตลอดช่วงเวลาดังกล่าว

เพื่อการปกป้องดูแลตนเอง ประชาชนควรตรวจเช็คค่าฝุ่นละออง ก่อนออกจากบ้าน เพื่อประกอบการตัดสินใจ โดยสามารถตรวจสอบข้อมูลค่าฝุ่นได้ผ่านทาง แอปพลิเคชัน หรือ เว็บไซต์ Air For Thai