พบ ‘สารเคมีตลอดกาล’ ใน ‘โลมา-วาฬ’ ปริมาณสูง แม้อยู่ในทะเลลึก

พบ ‘สารเคมีตลอดกาล’ ใน ‘โลมา-วาฬ’ ปริมาณสูง แม้อยู่ในทะเลลึก

พบสารเคมีตลอดกาลปริมาณสูง ในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่อาศัยในทะเล ทั้งวาฬและโลมา แม้จะอยู่ในทะเลลึก ตอกย้ำไม่มีที่ไหนปลอดภัยจาก PFAS

KEY

POINTS

  • งานวิจัยพบการปนเปื้อน "สารเคมีตลอดกาล" (PFAS) ในระดับสูงอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนในโลมาและวาฬ รวมถึงสายพันธุ์ที่อาศัยและหากินในทะเลลึก
  • การปนเปื้อนของ PFAS ได้แพร่กระจายไปทั่วทุกส่วนของมหาสมุทรและฝังลึกในห่วงโซ่อาหาร ทำให้ไม่มีพื้นที่ใดในทะเลปลอดภัยจากมลพิษจากมนุษย์
  • ปริมาณการสะสมสารพิษในร่างกายของสัตว์ไม่ได้ขึ้นอยู่กับถิ่นที่อยู่อาศัย แต่กลับพบว่าเพศและอายุเป็นปัจจัยที่ชัดเจนกว่า โดยสัตว์เพศผู้และมีอายุมากจะมีระดับ PFAS สูงกว่า
  • สารเคมีดังกล่าวสามารถสะสมในร่างกายของสัตว์ทะเลและอาจส่งผลกระทบร้ายแรงต่อสุขภาพ โดยรบกวนการทำงานของฮอร์โมน ระบบภูมิคุ้มกัน และการสืบพันธุ์

สารเคมีตลอดกาล” หรือ “PFAS” เป็นหนึ่งในปัญหาสิ่งแวดล้อมที่น่ากังวลและเริ่มส่งผลกระทบไปทั่วโลก ไม่เว้นแม้แต่ในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมในทะเลไม่ว่าจะเป็นวาฬ และ โลมา ที่พบว่าพวกมันปนเปื้อนสารตลอดกาลในระดับสูง แม้ว่าพวกมันจะอาศัยอยู่ใต้ผิวน้ำก็ตาม

งานวิจัยของคณะวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสาร Science of the Total Environment ส่งสัญญาณเตือนถึงสุขภาพระยะยาวของสิ่งมีชีวิตในทะเล หลังจากพบว่าโลมาและวาฬน้ำลึกมีการปนเปื้อนของสารโพลีฟลูออโรอัลคิล (PFAS) ในระดับ “ที่ไม่เคยมีมาก่อน”

PFAS” คือกลุ่มสารเคมีสังเคราะห์มากกว่า 14,000 ชนิดที่ถูกนำมาใช้ตั้งแต่ช่วงทศวรรษ 1950 พบได้ในผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ในชีวิตประจำวัน รวมถึงเครื่องครัวแบบไม่ติดกระทะ บรรจุภัณฑ์อาหาร ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด เสื้อผ้ากันน้ำ โฟมดับเพลิง และแม้แต่เครื่องสำอาง สารเคมีเหล่านี้มักถูกเรียกว่า “สารเคมีตลอดกาล” เพราะใช้เวลาย่อยสลายตามธรรมชาตินับพันปี

 

ไม่มีสถานที่ปลอดภัย จาก PFAS

หลายคนอาจจะคิดว่า PFAS น่าจะอยู่แค่เฉพาะบนบก ใต้ทะเลลึกน่าจะปลอดภัยจากสารเคมีตลอดกาลมากกว่า แต่ความจริงแล้วไม่เป็นเช่นนั้น เพราะงานวิจัยพบว่า PFAS ปนเปื้อนในวาฬและโลมาหลากหลายสายพันธุ์มากกว่าที่เคยคาดคิด รวมถึงสัตว์ที่ดำน้ำลึกซึ่งอาศัยอยู่ไกลเกินกว่าพื้นที่ที่มนุษย์ทำกิจกรรม

แต่ที่น่าประหลาดใจที่สุดคือ เราไม่สามารถคาดเดาการสัมผัสสารมลพิษเหล่านี้ได้จากถิ่นอาศัยของสัตว์ ในทางกลับกันเพศและอายุกลับเป็นตัวทำนายที่ชัดเจนกว่าว่า วาฬหรือโลมาจะสะสมสารมลพิษเหล่านี้ในร่างกายมากน้อยเพียงใด

นั่นหมายความว่า มลพิษทางเคมีฝังรากลึกในห่วงโซ่อาหารในมหาสมุทรมากกว่าที่เราคิด ส่งผลกระทบต่อทุกสิ่ง ตั้งแต่โลมาเมาอิชายฝั่งที่ใกล้สูญพันธุ์ไปจนถึงวาฬปากนกและวาฬสเปิร์มที่ดำน้ำลึก

งานวิจัยชิ้นนี้จึงเป็นหลักฐานชัดเจนว่าปัจจุบันไม่มีส่วนใดของมหาสมุทรที่พ้นจากมลพิษจากมนุษย์

ดร. แคทารีนา ปีเตอร์ส นักนิเวศวิทยาทางทะเลและหัวหน้านักวิจัยของห้องปฏิบัติการนิเวศวิทยาสัตว์มีกระดูกสันหลังทางทะเล มหาวิทยาลัยวูลลองกอง (UOW) กล่าวว่า “เราเคยคิดว่าสัตว์ที่หากินในน้ำลึกเป็นหลัก เช่น วาฬสเปิร์ม จะมีปริมาณการปนเปื้อนของ PFAS ต่ำกว่าโลมาเฮคเตอร์ ที่อาศัยอยู่ใกล้ชายฝั่ง ต้นกำเนิดมลพิษ แต่การวิเคราะห์ของเราแสดงให้เห็นว่าไม่เป็นเช่นนั้น ดูเหมือนจะไม่มีที่หลบซ่อนจาก PFAS เลย”

สารเคมีตลอดกาลเดินทางผ่านอากาศและน้ำ และจบลงในมหาสมุทร ซึ่ง PFAS จะซึมผ่านน้ำทะเลและตะกอน สุดท้ายสัตว์ทะเลต่าง ๆ ก็จะกินสารเคมีเข้าไปพร้อมกับอาหาร เมื่อเข้าไปในตัวสัตว์แล้ว PFAS สามารถจับกับโปรตีนและสะสมในเลือดและอวัยวะต่าง ๆ เช่น ตับ สามารถรบกวนการทำงานของฮอร์โมน ระบบภูมิคุ้มกัน และการสืบพันธุ์

เช่นเดียวกับมนุษย์ วาฬและโลมาอยู่สูงในห่วงโซ่อาหาร ทำให้พวกมันมีความเสี่ยงเป็นพิเศษที่จะสะสมสารมลพิษเหล่านี้ตลอดชีวิต

สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมในทะเลเป็นระบบเตือนภัยของมหาสมุทร เนื่องจากพวกมันเป็นสัตว์นักล่าขนาดใหญ่ที่มีอายุยืนยาว สุขภาพของพวกมันจึงสะท้อนถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในระบบนิเวศโดยรวม รวมถึงความเสี่ยงที่อาจส่งผลกระทบต่อมนุษย์ด้วย

แนวคิดนี้เป็นหัวใจสำคัญของแนวคิด OneHealth ซึ่งเชื่อมโยงสิ่งแวดล้อม สัตว์ และสุขภาพของมนุษย์

นิวซีแลนด์เป็นหนึ่งในสถานที่ที่ดีที่สุดในโลกสำหรับการศึกษาผลกระทบต่อมนุษย์ภายใต้กรอบแนวคิด OneHealth วาฬและโลมามีฟัน (odontocetes) มากกว่าครึ่งหนึ่งของโลกอาศัยอยู่ที่นี่ และเป็นสถานที่ที่เหมาะสำหรับการประเมินว่า PFAS เข้าสู่ห่วงโซ่อาหารในมหาสมุทรได้ลึกแค่ไหน

นักวิจัยวิเคราะห์ตัวอย่างตับจากวาฬและโลมาเกยตื้น 127 ตัว ครอบคลุม 16 สายพันธุ์ ใน 4 วงศ์ ทั้งที่อาศัยอยู่ในบริเวณชายฝั่งและกลางทำเลลึก พบว่าสัตว์ทุกชนิดมี PFAS ปนเปื้อนอยู่ และสัตว์ที่อาศัยอยู่ในน้ำลึกบางตัวมีความเข้มข้นของ PFAS เทียบเท่า (หรือสูงกว่า) สัตว์ชายฝั่งด้วยซ้ำ

นอกจากนี้ สัตว์ที่มีอายุมากกว่าและมีขนาดใหญ่กว่าจะมีระดับ PFAS สูงกว่า ซึ่งบ่งชี้ว่าพวกมันสะสมสารเคมีเหล่านี้เมื่อเวลาผ่านไป โดยตัวผู้มีแนวโน้มพบสารเคมีตลอดกาลสูงกว่าตัวเมีย ขณะเดียวกันแม่ก็สามารถถ่ายทอด PFAS ไปยังลูกในระหว่างตั้งครรภ์และให้นมลูก รูปแบบเหล่านี้สอดคล้องกันในสารเคมี PFAS หลักทุกประเภท

ผลการศึกษาแสดงให้เห็นว่า PFAS ปนเปื้อนเข้าสู่ทุกชั้นของห่วงโซ่อาหารทางทะเลแล้ว ส่งผลกระทบต่อทุกสิ่งตั้งแต่โลมาใกล้ชายฝั่งไปจนถึงสัตว์นักล่าที่ดำน้ำลึก

นอกจากการกินอาหารแล้ว สัตว์ก็อาจดูดซับ PFAS ผ่านกลไกอื่น ๆ รวมถึงผิวหนังของพวกมัน PFAS อาจมีปฏิกิริยากับปัจจัยกดดันอื่น ๆ เพิ่มเติม รวมถึงการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การเปลี่ยนแปลงความพร้อมของเหยื่อ และโรค ซึ่งเพิ่มแรงกดดันให้กับสัตว์สายพันธุ์ที่กำลังถูกคุกคามอยู่แล้ว

สิ่งเหล่านี้ก่อให้เกิดคำถามเร่งด่วนเกี่ยวกับผลกระทบต่อสุขภาพของสารเหล่านี้ สารเคมีเหล่านี้ส่งผลกระทบต่อประชากรสัตว์อยู่แล้วหรือไม่ การปนเปื้อนของสาร PFAS อาจทำให้ภูมิคุ้มกันอ่อนแอลงและเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคในสัตว์ที่มีความเสี่ยงสูง เช่น โลมาเมาอิ หรือไม่

แม้นักวิจัยจะยังไม่ทราบแน่ชัดว่าสารเคมีตลอดกาลส่งผลกระทบอย่างไรต่อสุขภาพทั้งคนและสัตว์ แต่นักวิจัยได้เตือนว่าสารนี้อาจรบกวนระบบภูมิคุ้มกันและระบบสืบพันธุ์ ขณะที่ในมนุษย์สามารถทำให้เกิดปัญหาสุขภาพต่าง ๆ มากมาย เช่น มะเร็ง ภาวะมีบุตรยาก โรคไทรอยด์ และการกดภูมิคุ้มกัน

“แม้แต่สัตว์นอกชายฝั่งและสัตว์ที่ดำน้ำลึกก็สัมผัสกับสาร PFAS ในระดับที่ใกล้เคียงกัน ซึ่งชี้ให้เห็นว่ามลพิษที่แพร่หลาย ประกอบกับปัจจัยกดดันจากสภาพภูมิอากาศ เป็นภัยคุกคามที่เพิ่มขึ้นต่อความหลากหลายทางชีวภาพทางทะเล” ดร. เฟรเดริก ซอลเทร นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีซิดนีย์ (UTS) และพิพิธภัณฑ์ออสเตรเลียน ซึ่งเป็นผู้ร่วมเขียนงานวิจัยกล่าวเสริม

การทำความเข้าใจว่าการสัมผัสสาร PFAS ส่งผลต่อการสืบพันธุ์ ภูมิคุ้มกัน และความสามารถในการปรับตัวต่อแรงกดดันจากสิ่งแวดล้อมอย่างไร ถือเป็นหัวใจสำคัญในการคาดการณ์ว่าสัตว์ที่ตกเป็นภัยคุกคามอยู่แล้วจะสามารถต้านทานการเปลี่ยนแปลงทางสิ่งแวดล้อมที่เร่งตัวขึ้นได้หรือไม่


ที่มา: Euro NewsPhysThe Conversation