ไทยเผชิญวิกฤติภูมิอากาศ ปัจจัยถ่วงเศรษฐกิจ ภัยพิบัติ 'บั่นทอน' ประเทศ

“นักวิชาการ” ชี้จุดอ่อนบริหารจัดการน้ำ โครงสร้างพื้นฐานไม่รองรับภัยพิบัติยุคโลกร้อน ผังน้ำไม่ถูกบังคับใช้ “ธนาคารโลก” เตือนภัยพิบัติปัจจัยถ่วงเศรษฐกิจไทย นักลงทุนหาย ด้าน “เอกชน” แนะรัฐบาลรื้อโครงสร้างรับมือภัยพิบัติ “น้ำท่วมสงขลา” สะท้อนไร้เอกภาพ เสี่ยงเจอภัยรุนแรงถี่ขึ้นยุคโลกร้อน ชงตั้งหน่วยงานบริหารภัยพิบัติทั้งประเทศ
KEY
POINTS
- “นักวิชาการ” ชี้จุดอ่อนบริหารจัดการน้ำ โครงสร้างพื้นฐานไม่รองรับภัยพิบัติยุคโลกร้อน ผังน้ำไม่ถูกบังคับใช้
- “ธนาคารโลก” เตือนภัยพิบัติปัจจัยถ่วงเศรษฐกิจไทย นักลงทุนหาย
- ด้าน “เอกชน” แนะรัฐบาลรื้อโครงสร้างรับมือภัยพิบัติ
- “น้ำท่วมสงขลา” สะท้อนไร้เอกภาพ เสี่ยงเจอภัยรุนแรงถี่ขึ้นยุคโลกร้อน ชงตั้งหน่วยงานบริหารภัยพิบัติทั้งประเทศ
สถานการณ์น้ำท่วมที่รุนแรงใน อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา สร้างความเสียหายอย่างรุนแรงต่อทรัพย์สิน และชีวิตประชาชน โดยการรับมือสถานการณ์รัฐบาลได้ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินใน จ.สงขลา ตั้งแต่วันที่ 25 พ.ย.2568 รวมทั้งนายกรัฐมนตรี ประกาศยกระดับการจัดการสาธารณภัยร้ายแรงอย่างยิ่ง (ระดับ 4) ตาม พ.ร.บ.ป้องกัน และบรรเทาสาธารณภัย พ.ศ.2550
ขณะที่ฝนยุคใหม่ไม่ได้แค่ตกหนัก แต่ “กระหน่ำแบบเข้มข้นสูง” ติดต่อหลายชั่วโมง จนระบบระบายน้ำของเมืองพังทลาย ปริมาณฝน 300-400 มิลลิเมตรต่อวัน เป็นตัวเลขที่ฉีกกฎทุกแบบจำลอง เส้นป้องกันเดิมของเมืองจึงพัง และขีดจำกัดโครงสร้างเดิมรองรับไม่ได้
นายชวลิต จันทรรัตน์ วิศวกรแหล่งน้ำ และกรรมการ บริษัท ทีม คอนซัลติ้ง เอนจิเนียริ่ง แอนด์ แมเนจเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ ทีมกรุ๊ป ผู้เชี่ยวชาญด้านน้ำของประเทศไทย เผยว่า “ช่องโหว่” สำคัญสุดในการรับมือมหาอุทกภัยยุคใหม่ของไทย คือ ‘ผังน้ำ’ และโครงสร้างพื้นฐานล้าสมัย หากไม่แก้ไขเร่งด่วน อาจนำไปสู่ความเสียหายทางเศรษฐกิจระดับ “หลายหมื่นล้านบาท” ในอนาคต
“ไทยก้าวสู่ยุคสภาพอากาศเปลี่ยนแปลงถาวร มีจุดเปลี่ยนชัดเจนตั้งแต่ปี 2564 ทำลายความเชื่อเดิมที่ว่าภัยพิบัติเกิดขึ้น และจบลงเร็ว”
สำหรับรูปแบบฝนปัจจุบันเปลี่ยนเป็นปรากฏการณ์ “ฝนตกเข้มข้นสูง” หรือ “เมฆระเบิด” ซึ่งเป็นฝนที่ตกหนักในพื้นที่จำกัดแทนการกระจายตัวในพื้นที่กว้าง เช่น กรณีฝนตกในภูเก็ตสูงถึง 350 มิลลิเมตร ใน 8 ชั่วโมง หรือที่เชียงใหม่ (สันป่าตอง) ฝนตก 300 มิลลิเมตร ซึ่งเป็นระดับทำลายขีดความสามารถระบบระบายน้ำในเมืองที่ออกแบบมารับมือฝนระดับปกติ
นอกจากนี้ ระยะเวลาเกิดภัยพิบัตินานขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ กรณีอุทกภัยภาคใต้ตอนล่าง (พัทลุง สงขลา ยะลา ปัตตานี) ชี้ให้เห็นว่าฝนตกหนักต่อเนื่อง 5-7 วัน ต่างจากอดีตที่ตกหนักเพียง 3 วัน ปริมาณฝนสะสมเพิ่มขึ้นก่อเกิดความเสียหาย ซึ่งน้ำท่วมหนักภาคใต้เกิดจากปัจจัยภูมิอากาศ 3 ปัจจัยซ้อนกันทำให้รุนแรงกว่าปกติ ได้แก่
- การแผ่ลงมาของมวลอากาศเย็นจากจีนดันแนวพัดสอบของลมมรสุมเคลื่อนตัวต่ำลงมาปกคลุมภาคใต้ตอนล่าง
- อิทธิพลหย่อมความกดอากาศต่ำ โดยการเกิดหย่อมความกดอากาศต่ำบริเวณใกล้เคียง (เช่น โกตาบารู มาเลเซีย) ทำให้มรสุมมีกำลังแรง และไม่เคลื่อนตัวไป
- ปรากฏการณ์ลานีญาส่งผลให้ลมมรสุมตะวันออกมีกำลังแรงเป็นพิเศษ หอบความชื้นจากอ่าวไทยมาเติมต่อเนื่อง และมหาศาล จนเกิดปริมาณฝนสูงถึง 200-400 มิลลิเมตรต่อวัน หลายพื้นที่
ไทยมีจุดอ่อนบริหารจัดการน้ำ
นายชวลิต ชี้ว่า แม้ไทยพยายามปรับปรุงการบริหารจัดการน้ำ แต่มีจุดอ่อนสำคัญที่ทำให้การรับมือภัยพิบัติที่รุนแรงขึ้นไม่มีประสิทธิภาพ 2 ปัจจัย คือ
- ปัญหาเชิงนโยบาย การจัดตั้งสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สธนช.) บูรณาการหน่วยงานด้านน้ำเป็นก้าวที่ถูกทาง แต่ปัญหาหลักคือ “ผังน้ำ” ที่ สธนช.ทำขึ้นไม่มีผลบังคับใช้เป็นกฎหมายที่เข้มงวด หรือมีสถานะเทียบเท่ากับ “ผังเมือง”
- โครงสร้างพื้นฐานล้าสมัย และคอขวดโครงสร้างพื้นฐานการระบายน้ำ ซึ่งเดิมออกแบบมารับมือสภาพอากาศในอดีตจึงรับมือปริมาณฝนตกเข้มข้นในปัจจุบันไม่ได้
นายชวลิต กล่าวว่า การรับมือภัยคุกคามระยะยาว โดยเฉพาะระดับน้ำทะเลสูงขึ้น และคาดว่าจะสูงขึ้นถึง 75 เซนติเมตร ต้องตัดสินใจเชิงยุทธศาสตร์ที่มีวิสัยทัศน์ในอีก 25 ปีข้างหน้า
ทั้งนี้ ทางออกใหม่เป็นการสร้าง “กระเปาะแก้มลิงปากแม่น้ำในทะเล” ซึ่งแนวทางเดิมสร้างคันกั้นน้ำให้สูงขึ้นตลอดแนวแม่น้ำเจ้าพระยา และแนวชายฝั่ง (ระยะทาง 3,000 กิโลเมตร) ถูกประเมินว่าใช้เวลาก่อสร้าง 22 ปี และจะกระทบระบบนิเวศชายฝั่งรุนแรง
ปัญหาเชิงโครงสร้างฝังลึก
รศ.ดร.สุจริต คูณธนกุลวงศ์ อาจารย์ประจำภาควิชาวิศวกรรมแหล่งน้ำ คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า ความล้มเหลวน้ำท่วมหาดใหญ่ไม่เกิดจากธรรมชาติอย่างเดียว แต่เกิดจากปัญหาเชิงโครงสร้างฝังลึก
สำหรับหัวใจปัญหาเป็นระบบที่พึ่งการตัดสินใจบุคคลเดียว ไม่ว่าจะเป็นนายกเทศมนตรีหรือผู้ว่าราชการจังหวัด ซึ่งรับแรงกดดันมหาศาล และมักขาดระบบสนับสนุนทางเทคนิคที่แข็งแกร่งในการให้ “second opinion” บนพื้นฐานข้อมูลวิทยาศาสตร์ที่แม่นยำ
การตัดสินใจที่ผิดพลาดช่วงวิกฤติ เช่น ประเมินว่า “เอาอยู่” เป็นผลกระทบแบบโดมิโน นอกจากนี้ คู่มือปฏิบัติการที่มีขาดรายละเอียดเชิงเทคนิคที่ชัดเจน และเป็นมาตรฐาน ทำให้เมื่อเกิดเหตุการณ์จริง เจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานไม่สอดคล้อง และมีประสิทธิภาพ
โครงสร้างพื้นฐานน้ำที่มีล้าสมัย
รศ.ดร.สุจริต กล่าวว่า โครงสร้างพื้นฐานป้องกันน้ำท่วมถูกออกแบบตามข้อมูลอดีต ‘เริ่มไม่พอ’ รับมือภัยพิบัติจากสภาวะโลกร้อน และยุคสื่อสารเรียลไทม์ ข้อมูลเป็นอุปสรรคสำคัญตั้งแต่ความคลาดเคลื่อนการพยากรณ์อากาศ และฝนเฉพาะที่รุนแรง จนถึงระบบเตือนภัยขาดความชัดเจน
รวมถึงประชาชนไม่เข้าใจว่า “เตือนระดับ 1, 2, 3” หมายถึงอะไร และต้องปฏิบัติอย่างไรเมื่อเผชิญสถานการณ์จริง รวมทั้งที่ร้ายแรงเป็นอิทธิพลโซเชียลมีเดียที่เสนอข่าวจริง และเท็จที่กระจายเร็วสร้างความตื่นตระหนก
รศ.ดร.สุจริต แนะว่าเพื่อหลุดวงจรความเสียหายที่เกิดขึ้นซ้ำ โดยไทยต้องปฏิรูปเชิงกลยุทธ์ 4 เสาหลัก คือ
- สร้างระบบสนับสนุนการตัดสินใจที่แข็งแกร่ง โดยต้องบูรณาการความรู้จากสถาบันการศึกษา และผู้เชี่ยวชาญด้านเทคนิคเป็น “พี่เลี้ยง” เพื่อให้ผู้มีอำนาจตัดสินใจบนพื้นฐานข้อมูลวิทยาศาสตร์ที่น่าเชื่อถือ ซึ่งจะสร้างความมั่นใจในการสั่งสำคัญ เช่น การอพยพ
- ยกระดับการเตือนภัย และการสื่อสารสู่ประชาชน โดยต้องพัฒนาระบบเตือนภัย 3 ระดับที่ชัดเจน และปฏิบัติได้จริง รวมทั้งนำเครื่องมือสื่อสารที่เห็นภาพชัดเจน “Flood Mark” หรือเสาวัดระดับน้ำพร้อมเครื่องหมายสีตามระดับเตือนภัย ซึ่งติดตั้งในพื้นที่เสี่ยงเพื่อให้ประชาชนรู้ระดับความเสี่ยง
- การวางแผนเชิงรุกเพื่อรับมือสถานการณ์สุดโต่ง แต่ละเมืองต้องกำหนด และปกป้อง “ไข่แดง” หรือโครงสร้างพื้นฐานสำคัญ เช่น โรงพยาบาล โรงไฟฟ้า และศูนย์บัญชาการ โดยวางมาตรการป้องกันในระดับ Worst-case Scenario เช่น การสร้างกำแพงป้องกัน
- การพัฒนาปัจจัยด้านคน ต้องพัฒนาทั้งเจ้าหน้าที่ และประชาชน ผ่านการออกแบบระบบงานที่สนับสนุน และคานการตัดสินใจกัน รวมทั้งฝึกซ้อมแผนรับมือภัยพิบัติสม่ำเสมอ
สำหรับบทเรียนจากหาดใหญ่ชี้ชัดว่าการจัดการภัยพิบัติในอนาคตต้องเปลี่ยนจาก “รอรับมือ” เป็นการ “วางแผนเชิงรุก” และสร้างระบบที่ทำงานได้ด้วยตัวเอง ไม่ขึ้นกับบุคคลใดบุคคลหนึ่ง
ภัยพิบัติปัจจัยถ่วงเศรษฐกิจไทย
นางสาวเมลินดา กู้ด ผู้อำนวยการธนาคารโลกประจำประเทศไทยและประเทศเมียนมา กล่าวในหัวข้อ “From Risk to Resillence: World Bank's Vision for Thailand and ASEAN” ในงาน Spotlight Day 2025 “New World Order เศรษฐกิจไทยในระเบียบโลกใหม่” ว่าไทยต้องให้ความสำคัญการจัดการปัญหาน้ำท่วม และความมั่นคงทางน้ำเพราะการเปลี่ยนแปลงสภาวะอากาศรุนแรงขึ้น หากไม่แก้จะส่งผลเสียต่อเศรษฐกิจมหาศาล
ธนาคารโลกเปิดตัวรายงาน “Country Climate and Development Report (CCDR) เป็นพิมพ์เขียวสำหรับไทยรับมือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ หากไทยไม่จัดการผลกระทบนี้จะเกิดความสูญเสีย 7-14% ของ GDP ในปี 2593
“หากไทยต้องการบรรลุเป้าหมายเป็นประเทศรายได้สูง และต้องการเห็นการเติบโตที่ยั่งยืนการแก้ปัญหาจัดการน้ำ โดยเฉพาะน้ำท่วม ต้องยกระดับเป็นปัญหาเร่งด่วน และให้ความสำคัญ”
เตือนไทยเสี่ยงเกิดน้ำท่วมรุนแรงอีก
นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า การรับมือวิกฤติน้ำท่วมสงขลาทำให้เห็นระบบราชการที่ทับซ้อน และการสั่งการไม่เป็นเอกภาพ หากไม่แก้ปัญหาเชิงโครงสร้าง และปรับระบบบริหารจัดการน้ำ จะทำให้ประเทศเสี่ยงเผชิญน้ำท่วมรุนแรงอีก การประกาศภาวะฉุกเฉิน และคำสั่งจากหลายศูนย์บัญชาการทำให้ภาคสนามสับสน
จึงขอให้รัฐบาลปรับโครงสร้างมอบอำนาจ และกลไกสั่งการภาวะภัยพิบัติ เพื่อให้การระดมทรัพยากร และการตัดสินใจไปทิศทางเดียว ครั้งนี้ ควรเป็นบทเรียนให้ทุกฝ่ายหาแนวทางป้องกันที่ชัดเจน วางแผนผังเมือง ระบบสื่อสารภาวะฉุกเฉิน ฝึกซ้อมเพื่อตอบสนองได้เร็ว และปรับโครงสร้างการมอบอำนาจ
เสนอตั้งหน่วยงานเฉพาะบริหารภัยพิบัติ
นายวิศิษฐ์ ลิ้มลือชา รองประธานกรรมการหอการค้าไทย กล่าวว่า ไทยมีโอกาสเกิดน้ำท่วมรุนแรงอีก เพราะสภาวะโลกร้อน เดิมเหตุการณ์รุนแรงจะเกิดขึ้นรอบ 30-50 ปี รัฐบาลควรตั้งหน่วยงานเฉพาะ เพื่อจัดการภัยพิบัติ และเตือนภัย ไม่ควรให้แต่ละจังหวัดจัดการกันเอง แต่ควรวางระบบจัดการภัยพิบัติรวมทั้งประเทศ
ทั้งต้องนำบทเรียนภัยพิบัติที่เกิดขึ้นทั่วโลกมาพิจารณาประกอบทำแผนบริหารจัดการภัยพิบัติไม่ว่าจะเป็นน้ำท่วม แผ่นดินไหว ซึ่งแผนที่มีอาจไม่สอดคล้องปัจจุบันเมื่อดูจากน้ำท่วมหาดใหญ่เพราะเมืองขยายใหญ่
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์







