น้ำท่วมหาดใหญ่ ผลพวง 'แม่น้ำบนท้องฟ้า' ประเมิน กรุงเทพฯ มีความเสี่ยงแค่ไหน

น้ำท่วมหาดใหญ่ผลพวงจากปรากฏการณ์ "แม่น้ำในชั้นบรรยากาศ" (Atmospheric Rivers) กรุงเทพฯ มีโอกาสได้รับผลกระทบโดยตรงจากปรากฏการณ์นี้น้อยกว่าภาคใต้ เนื่องจากอยู่ในตำแหน่งละติจูดที่สูงกว่า
KEY
POINTS
- น้ำท่วมหาดใหญ่ผลพวงจากปรากฏการณ์ "แม่น้ำในชั้นบรรยากาศ" (Atmospheric Rivers)
- กรุงเทพฯ มีโอกาสได้รับผลกระทบโดยตรงจากปรากฏการณ์นี้น้อยกว่าภาคใต้ เนื่องจากอยู่ในตำแหน่งละติจูดที่สูงกว่า
- ภาวะโลกร้อนเป็นปัจจัยที่ทำให้ปรากฏการณ์แม่น้ำบนท้องฟ้าทวีความรุนแรงขึ้น
- ระบบพยากรณ์อากาศของไทยต้องผนวกข้อมูล "ความเข้มข้นของไอน้ำ" ในบรรยากาศเข้าไปในระบบเตือนภัย
บทเรียนจากสถานการณ์ น้ำท่วมหาดใหญ่ ทำให้เกิดคำถามตามมาคือ “แม่น้ำบนท้องฟ้า” หรือ แม่น้ำในชั้นบรรยากาศ (Atmospheric Rivers: ARs) กำลังกลายเป็นตัวแปรหลักที่กระตุ้นฝนตกหนักแบบเฉียบพลันและยาวนานเหนือคาบสมุทรไทยตอนล่างหรือไม่ แล้วปรากฏการณ์นี้จะสามารถพาดตัวขึ้นมาถึงกรุงเทพฯ หรือพื้นที่อื่นในไทยได้หรือไม่ ทั้งนี้ ระบบพยากรณ์ของไทยพร้อมรับมือมากแค่ไหนกับเหตุสุดขั้วที่กำลังทวีความถี่และความรุนแรงขึ้นเพราะภาวะโลกร้อน
'กรุงเทพธุรกิจ' สัมภาษณ์ “ธารา บัวคำศรี” ผู้อำนวยการโครงการ Climate Connectors เพื่อไขคำตอบของปรากฏการณ์ที่อาจกลายเป็นความเสี่ยงใหม่ของประเทศ “ธารา” กล่าวว่า แม่น้ำบนท้องฟ้าเป็นปรากฏการณ์ที่มีมานานแล้ว การศึกษาเรื่องนี้เริ่มมาจากการสังเกตการณ์ของนักวิทยาศาสตร์ในแถบอเมริกาเหนือ ที่พบว่าความชื้นและฝนที่เข้าถล่มรัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกานั้น คือกระแสลำเลียงไอน้ำขนาดมหึมาที่ก่อตัวในบรรยากาศระดับล่างถึงระดับกลาง
มักเกิดขึ้นเหนือมหาสมุทรเขตอบอุ่นถึงกึ่งร้อน เช่น แปซิฟิกเหนือ และทำหน้าที่เสมือน “ทางด่วนขนส่งไอน้ำ” พัดพาไอน้ำจำนวนมากจากมหาสมุทรเข้าสู่แผ่นดิน เมื่อปะทะภูเขาหรือระบบความกดอากาศที่เหมาะสม จึงก่อให้เกิดฝนตกหนักและน้ำท่วมรุนแรงได้
ปริมาณความชื้นที่สะสมอยู่ในแถบความชื้นนี้ มีการประเมินว่าบางครั้งเทียบเท่ากับปริมาณน้ำของแม่น้ำมิสซิสซิปปี ซึ่งเป็นแม่น้ำที่ยาวที่สุดในอเมริกาเหนือ หรือระดับหลายพันล้านลูกบาศก์เมตร สำนักงานบริหารบรรยากาศและมหาสมุทรแห่งชาติ (National Oceanic and Atmospheric Administration: NOAA) ของสหรัฐฯ ได้ทำการศึกษาและทำระบบเตือนภัยสำหรับ Atmospheric River โดยเฉพาะแล้ว
ในเอเชียตะวันออกและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แม่น้ำบนท้องฟ้ามักก่อตัวในบริเวณแปซิฟิกตะวันตก ก่อนจะพัดพาไอน้ำจำนวนมากเข้าสู่ไต้หวัน ญี่ปุ่น ฟิลิปปินส์ และทะเลจีนใต้ ซึ่งสามารถเสริมความรุนแรงให้มรสุมและระบบพายุหมุนเขตร้อนในภูมิภาคได้
อย่างไรก็ตาม แนวการเคลื่อนที่ของ ARs ไม่ได้คงที่เป็นเส้นตรง แต่สามารถคดโค้งตามกระแสลมและสภาพอากาศในช่วงนั้น ส่งผลกระทบต่อพื้นที่ใกล้เคียงได้ รวมถึงคาบสมุทรมลายู (มาเลเซียตอนเหนือและภาคใต้ของไทย)
ขณะที่ความชื้นจำนวนมากที่สะสมอยู่ในระบบยังสามารถป้อนกำลังให้มรสุมตะวันออกเฉียงเหนือ หรือไปเสริมพายุหมุนเขตร้อนที่เกิดในทะเลจีนใต้และอ่าวเบงกอลได้ เมื่อเงื่อนไขทุกอย่างสอดคล้องกัน ก็เพิ่มโอกาสเกิดฝนหนักและน้ำท่วมรุนแรงอย่างที่เห็นในภาคใต้ตอนนี้
เหตุการณ์น้ำท่วมที่เกิดขึ้นไล่เลี่ยกัน เช่น ภาคใต้ (หาดใหญ่) มาเลเซียตอนเหนือ บอร์เนียว เวียดนามตอนใต้ และฟิลิปปินส์ มักเป็นผลพวงจากปรากฏการณ์นี้ โดยช่วงเวลาที่โอกาสจะเกิดแม่น้ำบนท้องฟ้าทางภาคใต้ของประเทศไทย จะอยู่ในช่วงเดือน ตุลาคม พฤศจิกายน ธันวาคม มกราคม กุมภาพันธ์ และบางครั้งอาจขยับไปจนถึงมีนาคม
สำหรับพื้นที่กรุงเทพฯนั้น โอกาสที่จะได้รับผลกระทบโดยตรงจากแม่น้ำบนท้องฟ้ามีน้อยกว่า เพราะกรุงเทพฯ อยู่ในตำแหน่งละติจูดที่สูงขึ้นมา รูปแบบของฝนตกที่กรุงเทพฯ จะเป็นผลพวงจากลมหรือพายุหมุนเขตร้อนมากกว่า
การที่จะเกิดปรากฏการณ์ที่นำไปสู่ภัยพิบัติได้นั้นจะต้องมีเงื่อนไขหลายอย่างที่เข้ามากระตุ้นร่วมกัน เงื่อนไขหลักคือจะต้องมีความชื้นในแถบดังกล่าวนั้นอยู่ในระดับที่เข้มข้นสูงมากตามเกณฑ์ของ ARs นอกจากนี้ยังต้องมีการปะทะกันของลมมรสุมที่เป็นความกดอากาศต่ำจากด้านบนและความกดอากาศสูงตามแนวเส้นศูนย์สูตร
“ธารา” กล่าวว่า จากแผนที่น้ำท่วมในวันที่ 24 พฤศจิกายน 2568 พื้นที่แนวคาบสมุทรภาคใต้ถูกน้ำท่วมรวมประมาณ 540 ตร.กม. ลึกเฉลี่ยราว 1.6 เมตร คิดเป็นปริมาณน้ำทั้งหมดประมาณ 870 ล้านลูกบาศก์เมตร ถ้าเทียบกับแม่น้ำบนท้องฟ้า ปริมาณน้ำวันนั้นประมาณเท่ากับน้ำที่ ARs นำพามาได้ในเวลาประมาณครึ่งวัน
ถ้าเป็น ARs เส้นใหญ่และรุนแรง ปริมาณเท่านี้ใช้เวลาแค่ชั่วโมงกว่าๆ ก็นำพามาได้แล้ว พูดง่ายๆ ก็คือน้ำที่ท่วมภาคใต้ตอนนี้คือเศษเสี้ยวเดียวของน้ำทั้งหมดที่แม่น้ำบนท้องฟ้าสามารถนำพามาจากมหาสมุทรได้ในไม่กี่ชั่วโมง
สิ่งที่ทำให้เกิดมหาอุทกภัย ไม่ใช่เพียงในอากาศมีน้ำมากแค่ไหน แต่คือเมื่อ ‘ARs’ มาอ้อยอิ่งอยู่เหนือคาบสมุทรแคบๆ อย่างภาคใต้ ในขณะที่เรามีระบบระบายน้ำ พื้นที่รับน้ำ และการเตือนภัยที่ตามไม่ทัน น้ำท่วมครั้งนี้จึงไม่ใช่แค่ฝนแรงกว่าปกติ แต่คือสัญญาณว่าโครงสร้างพื้นฐานและจินตนาการทางการเมืองที่มีอยู่ในสังคมไทยยังไม่สอดรับกับยุคของ ARs และมรสุมแบบใหม่
“ธารา” ชี้ว่า หากมีปัจจัยอื่นเสริมเข้ามาก็จะเพิ่มโอกาสเกิดน้ำท่วมหนัก โดยเฉพาะหากเป็นช่วงที่เกิด ปรากฏการณ์ลานีญา ซึ่งจะทำให้มีความชื้นสูงและมีฝนตกชุกมากกว่าปกติ
ส่วนประเด็นที่ว่าภาวะโลกร้อนส่งผลต่อปรากฏการณ์นี้หรือไม่ “ธารา” ยืนยันว่าเกี่ยวข้องกัน เนื่องจากเงื่อนไขของแม่น้ำบนท้องฟ้าคือการรวมตัวกันของไอน้ำที่เข้มข้น หากอุณหภูมิผิวทะเลในมหาสมุทรสูงขึ้นจากการที่โลกร้อนขึ้น น้ำก็จะระเหยมากขึ้น ทำให้ไอน้ำไปรวมตัวกันอยู่เป็นกระจุกความชื้นที่อันตรายได้
“ธารา” เสนอแนะว่า ระบบพยากรณ์ของไทยโดยทั่วไปมักวัดแค่ปริมาณฝน หรือคาดการณ์การเคลื่อนตัวของพายุเท่านั้น เพื่อป้องกันเหตุการณ์เหมือนที่หาดใหญ่ เราควรจะต้องนำเอาข้อมูลการวัด "คอลัมน์ของความชื้น" หรือความเข้มข้นของไอน้ำที่อยู่ในแม่น้ำบนท้องฟ้า มาผนวกเป็นส่วนหนึ่งของการพยากรณ์และระบบเตือนภัยด้วย โดยเฉพาะในช่วงเดือนตุลาคมไปจนถึงกุมภาพันธ์
ข้อมูลเรื่องความชื้นในท้องฟ้าเหล่านี้มีอยู่แล้ว และสามารถนำมาทำนายได้ล่วงหน้าถึง 7-8 วัน ยิ่งเราเตือนภัยได้เร็วขึ้น ถูกต้องแม่นยำขึ้น และเตรียมรับมือได้ดีขึ้น ความสูญเสียก็จะน้อยลง และการฟื้นฟูหรือรับมือก็จะง่ายขึ้นตามไปด้วย







