บทเรียนน้ำท่วม 'หาดใหญ่' ชี้ความจำเป็นในการปฏิรูป 'ระบบจัดการภัยพิบัติทั้งระบบ'

เหตุการณ์อุทกภัยครั้งใหญ่ที่หาดใหญ่ได้กลายเป็นภาพสะท้อนอันเจ็บปวดที่ชี้ให้เห็นถึงจุดอ่อนสำคัญและเป็นวาระเร่งด่วนในการปฏิรูประบบการจัดการภัยพิบัติของประเทศไทย เมื่อธรรมชาติแสดงความรุนแรงใน รูปแบบใหม่ ด้วยปริมาณฝนที่ตกหนักเกินกว่าที่คาดการณ์ไว้
KEY
POINTS
- เหตุการณ์น้ำท่วมหาดใหญ่สะท้อนความล้มเหลวของระบบจัดการภัยพิบัติที่พึ่งพาการตัดสินใจของบุคคลเดียว ขาดการสนับสนุนทางเทคนิค และใช้โครงสร้างพื้นฐานที่ล้าสมัย ไม่สามารถรับมือกับภัยพิบัติรูปแบบใหม่ได้
- ระบบการเตือนภัยแก่ประชาชนขาดความชัดเจนและไม่สามารถนำไปปฏิบัติได้จริง ประกอบกับการสื่อสารที่สับสนและการแพร่กระจายของข่าวลวงบนโซเชียลมีเดีย ทำให้การจัดการสถานการณ์วิกฤติทำได้ยากขึ้น
- แนวทางการปฏิรูปที่จำเป็นคือการสร้างระบบสนับสนุนการตัดสินใจบนฐานข้อมูลวิทยาศาสตร์, พัฒนาระบบเตือนภัยที่ชัดเจน, วางแผนเชิงรุกเพื่อปกป้องโครงสร้างพื้นฐานสำคัญ และพัฒนาศักยภาพของบุคลากรผ่านการฝึกซ้อมอย่างสม่ำเสมอ
เหตุการณ์อุทกภัยครั้งใหญ่(น้ำท่วมหาดใหญ่) ได้กลายเป็นภาพสะท้อนอันเจ็บปวดที่ชี้ให้เห็นถึงจุดอ่อนสำคัญและเป็นวาระเร่งด่วนในการ"ปฏิรูประบบการจัดการภัยพิบัติ"ของประเทศไทย เมื่อธรรมชาติแสดงความรุนแรงใน รูปแบบใหม่
ด้วยปริมาณฝนที่ตกหนักเกินกว่าที่คาดการณ์ไว้ (สูงถึง 400 มิลลิเมตร เทียบกับขีดความสามารถเดิมที่ 200-300 มิลลิเมตร) ทำให้ระบบบัญชาการและการจัดการทั้งหมดเกิดสภาวะ "ล่มสลาย" อย่างแท้จริง นำไปสู่ความโกลาหลและความเสียหายที่รุนแรง
ความล้มเหลวครั้งนี้ไม่ได้มาจากปัจจัยธรรมชาติเพียงอย่างเดียว แต่เกิดจากปัญหาเชิงโครงสร้างที่ฝังลึกและรอการแก้ไข
จุดอ่อนของระบบ การพึ่งพาบุคคลเดียวและความคลุมเครือ
รศ. ดร.สุจริต คูณธนกุลวงศ์ อาจารย์ประจำภาควิชาวิศวกรรมแหล่งน้ำ คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า หัวใจของปัญหาคือการที่ระบบปัจจุบัน พึ่งพาการตัดสินใจของบุคคลเดียว ไม่ว่าจะเป็นนายกเทศมนตรีหรือผู้ว่าราชการจังหวัด ที่ต้องแบกรับแรงกดดันมหาศาล และมักขาดระบบสนับสนุนทางเทคนิคที่แข็งแกร่งในการให้ "second opinion"บนพื้นฐานของข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ที่แม่นยำ
การตัดสินใจที่ผิดพลาดในช่วงวิกฤติ เช่น การประเมินว่า "เอาอยู่" จึงนำมาซึ่งผลกระทบแบบโดมิโน
นอกจากนี้ คู่มือปฏิบัติการ (SOP) ที่มีอยู่ก็ขาดรายละเอียดเชิงเทคนิคที่ชัดเจนและเป็นมาตรฐาน ทำให้เมื่อเกิดเหตุการณ์จริง เจ้าหน้าที่ไม่สามารถปฏิบัติงานได้อย่างสอดคล้องและมีประสิทธิภาพ ขณะที่โครงสร้างพื้นฐานป้องกันน้ำท่วมที่มีอยู่ก็ถูกออกแบบตามข้อมูลในอดีต ซึ่ง "เริ่มไม่พอ" ที่จะรับมือกับภัยพิบัติจากสภาวะโลกร้อนในปัจจุบัน
ความท้าทายในยุคดิจิทัล ข่าวลือและความสับสน
ในยุคของการสื่อสารแบบเรียลไทม์ ปัญหาด้านข้อมูลกลายเป็นอุปสรรคสำคัญ ตั้งแต่ ความคลาดเคลื่อนในการพยากรณ์อากาศ ของฝนเฉพาะที่รุนแรง ไปจนถึง ระบบการเตือนภัยที่ขาดความชัดเจน ประชาชนไม่เข้าใจอย่างถ่องแท้ว่า "เตือนระดับ 1, 2, 3" หมายถึงอะไร และต้องปฏิบัติอย่างไรเมื่อเผชิญกับสถานการณ์จริง
ที่ร้ายแรงยิ่งกว่าคือ อิทธิพลของ โซเชียลมีเดีย ที่ทำให้ข่าวสาร (ทั้งจริงและเท็จ) แพร่กระจายอย่างรวดเร็ว สร้างความตื่นตระหนก ("พอเวอร์ปุ๊บ ก็จะกลัวไปก่อน") และบ่อยครั้งที่ผู้มีอิทธิพลบนโลกออนไลน์สามารถสร้างกระแสที่กลบข้อมูลที่ถูกต้องจากภาครัฐ ทำให้การจัดการสถานการณ์วิกฤติเป็นไปได้ยากขึ้น
ยุทธศาสตร์เพื่อการปฏิรูป สร้างความยืดหยุ่นและเตรียมพร้อม
เพื่อหลุดพ้นจากวงจรความเสียหายที่เกิดขึ้นซ้ำ ๆ ประเทศไทยจำเป็นต้องมีการปฏิรูปเชิงกลยุทธ์ใน 4 เสาหลัก
1.สร้างระบบสนับสนุนการตัดสินใจที่แข็งแกร่ง ต้องมีการบูรณาการความรู้จากสถาบันการศึกษาและผู้เชี่ยวชาญด้านเทคนิคมาเป็น "พี่เลี้ยง" เพื่อให้ผู้มีอำนาจตัดสินใจบนพื้นฐานของข้อมูลวิทยาศาสตร์ที่น่าเชื่อถือ ซึ่งจะช่วยสร้างความมั่นใจในการสั่งการที่สำคัญ เช่น การอพยพประชาชน
2.ยกระดับการเตือนภัยและการสื่อสารสู่ประชาชน ต้องมีการพัฒนาระบบเตือนภัย 3 ระดับที่ ชัดเจนและนำไปปฏิบัติได้จริง โดยกำหนดนิยามและการปฏิบัติสำหรับประชาชนในแต่ละระดับอย่างเป็นมาตรฐาน และนำเครื่องมือสื่อสารที่เห็นภาพชัดเจนอย่าง "Flood Mark" (เสาวัดระดับน้ำพร้อมเครื่องหมายสีตามระดับเตือนภัย) มาติดตั้งในพื้นที่เสี่ยง เพื่อให้ประชาชนรู้ระดับความเสี่ยงของตนเองได้อย่างทันท่วงที
3.การวางแผนเชิงรุกเพื่อรับมือสถานการณ์สุดโต่ง (Extreme Scenarios) แต่ละเมืองต้องกำหนดและปกป้อง "ไข่แดง" หรือ โครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญที่สุด (Critical Infrastructure) เช่น โรงพยาบาล โรงไฟฟ้า และศูนย์บัญชาการ โดยวางมาตรการป้องกันในระดับ Worst-case Scenario (เช่น การสร้างกำแพงป้องกัน) เพื่อให้แน่ใจว่าสถานที่เหล่านี้จะยังคงสามารถให้บริการได้แม้ในสภาวะน้ำท่วมรุนแรง
4.การพัฒนาปัจจัยด้าน "คน" สุดท้ายแต่สำคัญที่สุด คือการพัฒนา "คน" ทั้งในส่วนของเจ้าหน้าที่และประชาชน ผ่านการออกแบบระบบงานที่สนับสนุนและคานการตัดสินใจของบุคลากร และการจัดให้มีการ ฝึกซ้อมแผน รับมือภัยพิบัติอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้เกิดความเข้าใจในบทบาทและการเตรียมพร้อมที่เป็นระบบในระดับชุมชน โดยเฉพาะการดูแลกลุ่มเสี่ยง เช่น ผู้สูงอายุและผู้ป่วยติดเตียง
บทเรียนจากหาดใหญ่ชี้ชัดว่า การจัดการภัยพิบัติในอนาคตต้องเปลี่ยนจากการรอรับมือเป็นการ วางแผนเชิงรุก และสร้างระบบที่สามารถทำงานได้ด้วยตัวเองโดยไม่ขึ้นอยู่กับบุคคลใดบุคคลหนึ่ง ระบบที่ "ล่มสลาย" ไปแล้วนี้ ต้องถูกแทนที่ด้วยระบบใหม่ที่มีความยืดหยุ่น โปร่งใส และสร้างความมั่นใจให้กับประชาชนอย่างแท้จริง







