น้ำท่วมหาดใหญ่ ชี้จุดอ่อน 'ขาดผู้บัญชาการพื้นที่แบบเบ็ดเสร็จ' ล้มเหลวสะสม

น้ำท่วมหาดใหญ่ ชี้จุดอ่อน 'ขาดผู้บัญชาการพื้นที่แบบเบ็ดเสร็จ' ล้มเหลวสะสม

ปัญหาหลักของน้ำท่วมหาดใหญ่คือการขาดผู้บัญชาการในพื้นที่แบบเบ็ดเสร็จ (Single Command) ทำให้การทำงานของหน่วยงานต่างๆ ไม่มีการบูรณาการและล่าช้า

KEY

POINTS

  • ปัญหาหลักของน้ำท่วมหาดใหญ่คือการขาดผู้บัญชาการในพื้นที่แบบเบ็ดเสร็จ (Single Command) ทำให้การทำงานของหน่วยงานต่างๆ ไม่มีการบูรณาการและล่าช้า
  • เกิดความล้มเหลวในการประสานงานระหว่างส่วนกลางที่ไม่ส่งข้อมูลเตือนภัยให้จังหวัด ขณะที่ระดับจังหวัดก็ขาดการเตรียมความพร้อมรับมือตามแผนที่กฎหมายกำหนด
  • ผู้เชี่ยวชาญชี้ว่า แม้ผู้ว่าราชการจังหวัดจะมีอำนาจตามกฎหมาย แต่ระบบสนับสนุนจากส่วนกลางล้มเหลว และเตือนว่าภาวะโลกร้อนจะทำให้เกิดภัยพิบัติรุนแรงขึ้นในอนาคต

เหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ ในอำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ที่ประชาชนจำนวนมากต้องหนีน้ำ บางรายอพยพทั้งครอบครัวขณะระดับน้ำกำลังพุ่งสูงจนท่วมมิดหลังคา ไม่ใช่เพียงภาพสะเทือนใจ แต่คือสัญญาณเตือนว่า ระบบจัดการสาธารณภัยของไทยยังคงติดหล่มปัญหาเก่าเก็บที่ไม่เคยได้รับการแก้ไขอย่างจริงจัง

"ดร.สนธิ คชวัฒน์" นักวิชาการด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ จากชมรมนักวิชาการสิ่งแวดล้อมไทย ออกมาเปิดประเด็นสำคัญที่ถูกละเลยมายาวนาน นั่นคือ ประเทศไทยยังขาด “ผู้บัญชาการในพื้นที่แบบเบ็ดเสร็จ” (Single Command) ซึ่งควรเป็นรากฐานของการบริหารความเสี่ยงและรับมือเหตุการณ์น้ำท่วมขนาดใหญ่

พื้นที่ไม่มีคนสั่งการชัดเจน

"ดร.สนธิ" ชี้ว่า หนึ่งในปัญหาการจัดการช่วยคนจากเหตุ"น้ำท่วมหาดใหญ่"ครั้งนี้เป็นไปล่าช้า เกิดจากการที่พื้นที่ไม่มีผู้นำการสั่งการที่เด็ดขาดเพียงหนึ่งเดียว ทำให้หน่วยงานต่างๆ ทำงานแบบ “ใครทำส่วนใคร” ไม่มีการบูรณาการร่วมกัน ทั้งที่เหตุการณ์สาธารณภัยต้องใช้ข้อมูล การตัดสินใจ และการสั่งการที่สอดคล้องกันแบบนาทีต่อนาที

ขณะเดียวกัน หน่วยงานส่วนกลางซึ่งถือครองข้อมูลน้ำสำคัญ ตั้งแต่การคาดการณ์ฝนตก การเฝ้าระวังระดับน้ำต้นน้ำ ไปจนถึงสถานการณ์แม่น้ำสายหลัก กลับไม่ได้สนับสนุนจังหวัดอย่างทันท่วงที ทั้งด้านข้อมูลและการส่งทีมลงพื้นที่

ผลลัพธ์ คือ ผู้ว่าราชการจังหวัดและหน่วยงานท้องถิ่น ถูกปล่อยให้รับมือกับความเสี่ยงขนาดใหญ่เพียงลำพัง ทั้งที่กฎหมายให้อำนาจผู้ว่าฯ อย่างเต็มที่ แต่ความพร้อมด้านข้อมูลและระบบสนับสนุนกลับไม่ถูกส่งให้ถึงมือ

ตามพระราชบัญญัติป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย พ.ศ. 2550 ผู้ว่าราชการจังหวัดมีสถานะเป็น ผู้อำนวยการจังหวัดด้านสาธารณภัย โดยตรง มีอำนาจและหน้าที่ครบชุดเพื่อรับมือเหตุฉุกเฉิน ได้แก่

1) อำนาจบัญชาการ

  • บริหารจัดการและรับผิดชอบสาธารณภัยในเขตจังหวัด
  • จัดทำแผนป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยของจังหวัด
  • สั่งการและกำกับดูแลการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่และอาสาสมัคร

2) การเตรียมความพร้อม

  • จัดทำฐานข้อมูลด้านสาธารณภัย เช่น พื้นที่เสี่ยงภัย และสิ่งก่อสร้าง
  • วางแผนปฏิบัติการและแผนการอพยพประชาชนจากพื้นที่เสี่ยงภัย
  • ดำเนินการฝึกซ้อมการป้องกันสาธารณภัย
  • กำกับดูแลการจัดหาวัสดุอุปกรณ์ ยานพาหนะ และสิ่งอื่นที่จำเป็นสำหรับการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย

3) การปฏิบัติในภาวะฉุกเฉิน

  • บริหารจัดการให้ความช่วยเหลือเบื้องต้นแก่ผู้ประสบภัยและจัดการสถานการณ์ในภาวะฉุกเฉิน
  • ประสานงานและบูรณาการการปฏิบัติกับหน่วยงานต่างๆ ทั้งภาครัฐ เอกชน และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น

4) การสนับสนุนและฟื้นฟู

  • สนับสนุนและส่งเสริมการทำงานของอาสาสมัครป้องกันภัยฝ่ายพลเรือน (อปพร.) และทีมกู้ชีพกู้ภัย
  • กำกับดูแลองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นให้จัดให้มีวัสดุอุปกรณ์ที่จำเป็นตามแผนฯ
  • ดำเนินการให้การสงเคราะห์เบื้องต้นแก่ผู้ประสบภัยหรือผู้ได้รับความเสียหาย

ส่วนกลางไม่ส่งข้อมูล – จังหวัดไม่พร้อม

“ดร.สนธิ” ชี้ว่า ความผิดพลาดครั้งนี้เกิดจาก “สองด้านพร้อมกัน” คือ

  1. ส่วนกลางไม่ให้ข้อมูลหรือประสานเตือนภัยตั้งแต่ต้น ทั้งที่มองเห็นสัญญาณเสี่ยงน้ำท่วมใหญ่ตั้งแต่แรก ทำให้ท้องถิ่นไม่มีข้อมูลเพียงพอในการเตรียมรับมือ
  2. จังหวัดไม่เตรียมพร้อมตามกฎหมาย หลายขั้นตอนที่ควรทำก่อนฤดูน้ำหลาก ตั้งแต่แผนอพยพ การฝึกซ้อม การเตรียมอุปกรณ์ ซึ่งไม่ถูกนำมาใช้จริง หรือใช้แบบไม่เต็มขีดความสามารถ

หากทั้งสองส่วนทำงานประสานกันตั้งแต่ต้น ซ้ำเติมด้วยระบบการสั่งการแบบ Single Command ที่เข้มแข็ง ความเสียหายครั้งนี้อาจ “ไม่หนักเท่านี้”

แต่วิกฤติครั้งนี้กลับสะท้อนว่าระบบยังทำงานแบบแยกส่วน และพื้นที่ยังไม่สามารถออกคำสั่งแบบเด็ดขาดได้อย่างที่ควร

โลกร้อน น้ำท่วมรุนแรงขึ้น และจะถี่ขึ้นกว่าที่เคย

“ดร.สนธิ” เตือนว่า วิกฤติครั้งนี้ไม่ใช่เหตุการณ์สุดท้าย แต่เป็นเพียง “สัญญาณเริ่มต้น” เพราะทุกหมุดหมายทางวิทยาศาสตร์ชี้ชัดว่า  โลกร้อนจะทำให้ น้ำแข็งขั้วโลกละลายเพิ่ม ปริมาณไอน้ำในชั้นบรรยากาศสูงขึ้น ความชื้นแผ่สะสม ฝนตกหนักแบบกระจุกเป็นพื้นที่ และฝนแช่ยาวต่อเนื่องหลายวัน ทั้งหมดนี้จะทำให้ประเทศไทยมีโอกาสเจอ น้ำท่วมใหญ่มากขึ้น และรุนแรงขึ้น อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

เมื่อประชาชนต้องหนีน้ำขึ้นหลังคา เมื่อจังหวัดต้องสู้เหตุการณ์ระดับชาติด้วยทรัพยากรจำกัด เมื่อกฎหมายมีแต่ระบบสั่งการยังไม่ทำงาน คำถามก็ลอยชัดขึ้นว่า ประเทศไทยถึงเวลาทบทวนระบบบริหารจัดการน้ำใหม่ทั้งระบบแล้วหรือยัง? เพราะหากยังคงวนลูปปัญหาเดิม ขาดผู้บัญชาการ ขาดข้อมูล ขาดความพร้อม น้ำท่วมหาดใหญ่ครั้งนี้จะไม่ใช่ “เหตุการณ์ประวัติศาสตร์” แต่จะเป็น “แบบฝึกหัดข้อแรก” ของภัยที่หนักกว่านี้ในอนาคตอันใกล้