สัญญาณเตือนภัย 'เมฆระเบิด-น้ำทะเลหนุน' ต้องลงทุนกู้ชาติวันนี้ก่อนเศรษฐกิจล่มสลาย

สัญญาณเตือนภัย 'เมฆระเบิด-น้ำทะเลหนุน' ต้องลงทุนกู้ชาติวันนี้ก่อนเศรษฐกิจล่มสลาย

ประเทศไทยได้ก้าวเข้าสู่ยุคที่ภัยพิบัติทางธรรมชาติมี 'ความเข้มข้นสูง' และ 'ระยะเวลาที่ยาวนานขึ้น' อย่างเป็นทางการ หลังปี 2564 ภัยพิบัติเช่นอุทกภัยหาดใหญ่ไม่ใช่เรื่องปกติ แต่เป็นผลโดยตรงจากปรากฏการณ์โลกร้อนที่ไม่อาจย้อนกลับได้

KEY

POINTS

  • ประเทศไทยกำลังเผชิญภัยพิบัติรุนแรงรูปแบบใหม่ทั้ง "เมฆระเบิด" (ฝนตกหนักเข้มข้น) และปัญหาน้ำทะเลหนุน ซึ่งโครงสร้างพื้นฐานปัจจุบันไม่สามารถรับมือได้
  • ผู้เชี่ยวชาญชี้ช่องโหว่สำคัญคือ "ผังน้ำ" ที่ไม่มีผลบังคับใช้ทางกฎหมาย ทำให้เกิดการก่อสร้างกีดขวางทางระบายน้ำ ประกอบกับโครงสร้างพื้นฐานที่ล้าสมัย
  • เสนอให้เร่งลงทุนในโครงการยุทธศาสตร์ขนาดใหญ่ เช่น "กระเปาะแก้มลิงในทะเล" เพื่อป้องกันความเสียหายทางเศรษฐกิจมูลค่ามหาศาลในอนาคต

ชวลิต จันทรรัตน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ทีม คอนซัลติ้ง เอนจิเนียริ่ง แอนด์ แมเนจเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ ทีมกรุ๊ป ผู้เชี่ยวชาญด้านน้ำ เผยว่าช่องโหว่คือการรับมือที่สำคัญ 'ผังน้ำ' ที่ไร้ผลบังคับทางกฎหมาย และโครงสร้างพื้นฐานที่ล้าสมัยไม่สามารถต้านทานได้ ข้อเสนอเร่งด่วนมุ่งเน้นการลงทุนเชิงรุกในโครงการยุทธศาสตร์ขนาดใหญ่ เช่น 'กระเปาะแก้มลิงในทะเล' เพื่อป้องกันความเสียหายทางเศรษฐกิจระดับ 'หลายหมื่นล้านบาท' ในอนาคต 

ภัยพิบัติ 'ยุคใหม่' ของไทย ความเข้มข้นที่ทำลายขีดจำกัด

ประเทศไทยกำลังเผชิญหน้ากับรูปแบบสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างถาวร โดยมีจุดเปลี่ยนสำคัญที่ปรากฏชัดเจนตั้งแต่ปี พ.ศ. 2564 เป็นต้นมา ซึ่งได้ทำลายความเชื่อเดิมที่ว่าภัยพิบัติจะเกิดขึ้นและจบลงอย่างรวดเร็ว

การเปลี่ยนผ่านสู่ 'ฝนตกเข้มข้นสูง' (High-Intensity Rainfall)

รูปแบบฝนในปัจจุบันได้เปลี่ยนไปสู่ปรากฏการณ์ที่เรียกว่า "ฝนตกเข้มข้นสูง" หรือ "เมฆระเบิด" (Cloud Burst) ซึ่งส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อการระบายน้ำของพื้นที่

  • เน้นหนักในพื้นที่จำกัด: แทนที่จะมีการกระจายตัวของฝนในพื้นที่กว้าง ฝนจะตกลงมาอย่างหนักในพื้นที่เล็ก ๆ เป็นหย่อม ๆ ตัวอย่างที่รุนแรงคือกรณี ภูเก็ต ที่มีฝนตกสูงถึง 350 มิลลิเมตรภายใน 8 ชั่วโมง หรือกรณี เชียงใหม่ (สันป่าตอง) ที่มีฝนตก 300 มิลลิเมตร ปริมาณน้ำฝนระดับนี้เกินขีดความสามารถของระบบระบายน้ำในเมืองที่ถูกออกแบบมาเพื่อรับมือกับฝนในระดับปกติ
  • ระยะเวลาที่ยาวนานขึ้น: นอกเหนือจากความเข้มข้นแล้ว ระยะเวลาการเกิดภัยพิบัติก็ยาวนานขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ กรณีอุทกภัยในภาคใต้ตอนล่าง (พัทลุง สงขลา ยะลา ปัตตานี)แสดงให้เห็นว่าฝนตกหนักต่อเนื่องยาวนานกว่า 5-7 วัน แตกต่างจากในอดีตที่มักจะตกหนักเพียง 3 วันแล้วลดลง ซึ่งปริมาณฝนสะสมที่เพิ่มขึ้นทำให้เกิดความเสียหายที่ไม่อาจประเมินได้


กรณีศึกษา อุทกภัยภาคใต้ที่ซับซ้อนและรุนแรง

เหตุการณ์น้ำท่วมหนักในภาคใต้เกิดจากปัจจัยทางภูมิอากาศ 3 ปัจจัยหลักซ้อนทับกัน ทำให้ความรุนแรงของมรสุมสูงกว่าปกติ

  1. การแผ่ลงมาของมวลอากาศเย็น: มวลอากาศเย็นจากประเทศจีนแผ่ลงมาดันให้แนวพัดสอบของลมมรสุมเคลื่อนตัวต่ำลงมาปกคลุมภาคใต้ตอนล่าง
  2. อิทธิพลของหย่อมความกดอากาศต่ำ: การเกิดหย่อมความกดอากาศต่ำบริเวณใกล้เคียง (เช่น โกตาบารู มาเลเซีย) ทำให้มรสุมมีกำลังแรงและไม่เคลื่อนตัวออกไปจากพื้นที่
  3. ปรากฏการณ์ลานีญา: ส่งผลให้ลมมรสุมตะวันออกมีกำลังแรงเป็นพิเศษ หอบเอาความชื้นจากอ่าวไทยเข้ามาเติมในพื้นที่อย่างต่อเนื่องและมหาศาล ทำให้เกิดปริมาณฝนสูงถึง 200-400 มิลลิเมตรต่อวัน ในหลายพื้นที่

การประเมินความพร้อมและจุดอ่อนในการรับมือของประเทศไทย

แม้ประเทศไทยจะมีความพยายามในการปรับปรุงการบริหารจัดการน้ำ แต่ยังคงมีจุดอ่อนสำคัญที่ทำให้ไม่สามารถรับมือกับภัยพิบัติที่ทวีความรุนแรงขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ปัญหาเชิงนโยบาย 'ผังน้ำ' ไร้กฎหมาย

บทบาท สธนช. และข้อจำกัด การจัดตั้งสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สธนช.) เพื่อบูรณาการหน่วยงานด้านน้ำถือเป็นก้าวที่ถูกทาง แต่ปัญหาหลักคือ "ผังน้ำ" ที่ สธนช. จัดทำขึ้น ยังไม่มีผลบังคับใช้เป็นกฎหมายที่เข้มงวด หรือมีสถานะเทียบเท่ากับ "ผังเมือง"

ผลกระทบต่อการพัฒนาเมือง ในทางปฏิบัติ การอนุญาตก่อสร้างและการพัฒนาเมืองยังคงอิงตามผังเมืองเป็นหลัก และมักจะ ละเลยข้อกำหนดจากผังน้ำ ส่งผลให้มีการพัฒนาที่ดินในลักษณะที่ลดทอนพื้นที่รับน้ำตามธรรมชาติ (แก้มลิง) และสร้างสิ่งกีดขวางทางระบายน้ำตามที่เคยกำหนดไว้ (เช่น การก่อสร้างรุกล้ำพื้นที่ Floodway ที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงกำหนด)

โครงสร้างพื้นฐานที่ล้าสมัยและ 'คอขวด'

ขนาดที่ไม่เพียงพอ โครงสร้างพื้นฐานด้านการระบายน้ำที่มีอยู่เดิมถูกออกแบบมาเพื่อรับมือกับสภาพอากาศในอดีต จึงไม่สามารถรับมือกับปริมาณน้ำจากฝนตกเข้มข้นในปัจจุบันได้ ท่อลอดถนนและทางรถไฟกลายเป็น 'คอขวด' สำคัญที่ทำให้น้ำระบายไม่ทันและเกิดการท่วมขังรุนแรง

ความจำเป็นในการขยายขนาด  มีการสำรวจพบว่าทางรถไฟสายใต้มีจุดอ่อนที่ต้องขยายทางระบายน้ำถึง 52 จุด การปรับปรุงต้องรวมถึงการ ขยายขนาดของท่อลอด จาก 4 ท่อ เป็น 6-8 ท่อ หรือตามความเหมาะสมในแต่ละจุด นอกจากนี้ คลองระบายน้ำสายหลัก เช่น คลอง ร.1 ในหาดใหญ่ ซึ่งเป็นเส้นเลือดหลักในการระบายน้ำ ต้องได้รับการ ขุดลอกตะกอน บริเวณปลายคลองอย่างเร่งด่วนเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการระบายน้ำลงสู่ทะเลสาบสงขลา

ข้อเสนอเชิงยุทธศาสตร์ การลงทุนเชิงรุกเพื่อความอยู่รอดในระยะยาว

การรับมือกับภัยคุกคามระยะยาวโดยเฉพาะเรื่องระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้น ต้องอาศัยการตัดสินใจเชิงยุทธศาสตร์ที่มีวิสัยทัศน์ในอีก 25 ปีข้างหน้า

การรับมือกับระดับน้ำทะเลสูงขึ้น 75 ซม.

  • แนวทางที่ถูกปฏิเสธ: แนวคิดเดิมในการสร้างคันกั้นน้ำให้สูงขึ้นตลอดแนวแม่น้ำเจ้าพระยาและแนวชายฝั่ง (รวมระยะทางกว่า 3,000 กิโลเมตร) ถูกประเมินว่า ใช้เวลาก่อสร้างยาวนานกว่า 22 ปี และจะสร้าง ผลกระทบต่อระบบนิเวศชายฝั่งอย่างรุนแรง
  • ข้อเสนอเชิงยุทธศาสตร์: 'กระเปาะแก้มลิงปากแม่น้ำในทะเล': แนวทางนี้ถูกนำเสนอโดยทีมกรุ๊ป โดยเป็นการสร้าง พื้นที่รับน้ำขนาดใหญ่บริเวณปากแม่น้ำในทะเล เพื่อทำหน้าที่เป็นทั้งพื้นที่แก้มลิงรับน้ำและเป็นแนวกั้นน้ำทะเลหนุน แนวทางนี้ถูกประเมินว่ามี ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยกว่า และเป็นทางเลือกที่มีประสิทธิภาพดีกว่าการต่อสู้กับน้ำบนบก

 

ผลกระทบหากไม่ดำเนินการ ความเค็มรุกทำลายเศรษฐกิจเกษตร

หากไม่มีมาตรการรับมือที่รุนแรงและทันท่วงที ปัญหาน้ำเค็มจะรุกเข้าสู่แผ่นดินลึก สร้างความเสียหายต่อพื้นที่เศรษฐกิจและแหล่งเกษตรกรรมมูลค่าสูง แม่น้ำพื้นที่ที่คาดว่าความเค็มจะรุกถึงในอนาคตผลกระทบสำคัญ

  1. แม่น้ำเจ้าพระยา รอยต่อระหว่าง จ.พระนครศรีอยุธยา และ จ.อ่างทองพื้นที่เกษตรและเศรษฐกิจหลักเสียหายวงกว้าง
  2. แม่น้ำท่าจีน จ.สุพรรณบุรีกระทบพื้นที่ปลูกส้มโอ มะพร้าว และพืชผลสำคัญอื่น ๆ
  3. แม่น้ำบางปะกง อ.บางคล้า ไปจนถึง จ.ปราจีนบุรีทำลายพื้นที่เกษตรกรรมและระบบนิเวศน้ำจืดในวงกว้าง
  4. แม่น้ำแม่กลอง อ.บ้านโป่ง จ.ราชบุรี กระทบแม้จะมีเขื่อนท่าม่วงช่วยบรรเทา

ข้อเสนอแนะเชิงนโยบายเพื่อความยั่งยืน

ประเทศไทยกำลังเผชิญกับความท้าทายที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ การดำเนินการเชิงรับแบบเดิมไม่เพียงพออีกต่อไป และต้องเปลี่ยนผ่านสู่การดำเนินงานเชิงรุกอย่างเร่งด่วน

  • ความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจ: การลงทุนเพื่อป้องกันและเตรียมความพร้อมมีความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจสูงกว่ามาก มูลค่าความเสียหายจากอุทกภัยหาดใหญ่เพียงครั้งเดียว ที่ประเมินไว้ 'หลายหมื่นล้านบาท' สามารถนำมาใช้ปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานเพื่อป้องกันปัญหาในระยะยาวได้อย่างมีนัยสำคัญ
  • บทเรียนจากเนเธอร์แลนด์: แม้แต่ประเทศที่เชี่ยวชาญด้านการจัดการน้ำอย่างเนเธอร์แลนด์ ยังต้องใช้เวลากว่า 22 ปีในการก่อสร้างโครงการป้องกันขนาดใหญ่ ดังนั้น ประเทศไทยต้องตัดสินใจและเริ่มต้นโครงการขนาดใหญ่ตั้งแต่วันนี้เพื่อให้การก่อสร้างแล้วเสร็จทันการณ์กับสถานการณ์ในอีก 25 ปีข้างหน้า

5 ข้อเสนอแนะเชิงนโยบายที่ต้องลงมือทำทันที

ยกระดับ 'ผังน้ำ' สู่กฎหมาย: เร่งรัดการประกาศใช้และบังคับใช้ผังน้ำให้มีสถานะเป็นกฎหมายเข้มงวดเทียบเท่าผังเมือง เพื่อหยุดยั้งการสร้างสิ่งกีดขวางทางน้ำ

  1. บังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง: นำกฎหมายผังเมืองที่มีอยู่เดิมมาปฏิบัติอย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะการรักษาและห้ามรุกล้ำพื้นที่รับน้ำตามธรรมชาติ
  2. จัดสรรงบประมาณเร่งด่วนเพื่อปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐาน: จัดทำแผนและงบประมาณระยะยาวเพื่อซ่อมบำรุง ขุดลอก และขยายขนาดโครงสร้างพื้นฐานเดิมที่มีจุดอ่อนทั่วประเทศอย่างเป็นระบบ
  3. ตัดสินใจและเริ่มโครงการยุทธศาสตร์ขนาดใหญ่: ตัดสินใจเลือกแนวทางและเริ่มต้นดำเนินการในโครงการเชิงยุทธศาสตร์เพื่อรับมือกับภัยคุกคามระยะยาว เช่น โครงการแก้มลิงในทะเล โดยไม่รอช้า
  4. ออกแบบโครงสร้างสำหรับอนาคต: โครงการก่อสร้างใหม่ ๆ ทั้งหมดต้องคำนวณและออกแบบให้มีขนาดใหญ่ขึ้น เพื่อรองรับปริมาณน้ำจากฝนที่ตกเข้มข้นและยาวนานกว่าเดิมอย่างน้อย 2 เท่าของมาตรฐานเดิม