ศูนย์ข้อมูล-การคุกคามน้ำบาดาล 'เทคโนโลยี AI' กระตุ้นวิกฤติความต้องการน้ำหล่อเย็น

ศูนย์ข้อมูล-การคุกคามน้ำบาดาล 'เทคโนโลยี AI' กระตุ้นวิกฤติความต้องการน้ำหล่อเย็น

การขยายตัวของโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลและ AI ทำให้ความต้องการใช้น้ำของศูนย์ข้อมูลพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็วทั่วโลก รวมถึงในประเทศไทย การนำกลยุทธ์การจัดการน้ำแบบหมุนเวียนและระบบหล่อเย็นขั้นสูงมาใช้จึงเป็นทางออกที่สำคัญเพื่อความยั่งยืนของทรัพยากรน้ำ

KEY

POINTS

  • การขยายตัวของศูนย์ข้อมูลและเทคโนโลยี AI ส่งผลให้ความต้องการใช้น้ำเพื่อการหล่อเย็นเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็วทั่วโลก รวมถึงในประเทศไทย
  • การเติบโตของศูนย์ข้อมูลในกรุงเทพฯ และปริมณฑล กำลังสร้างแรงกดดันต่อแหล่งน้ำบาดาลและน้ำผิวดิน ซึ่งอาจนำไปสู่วิกฤตการขาดแคลนน้ำและปัญหาแผ่นดินทรุด
  • แนวทางแก้ไขที่สำคัญคือการใช้กลยุทธ์ "การจัดการน้ำแบบหมุนเวียน" เช่น การใช้ระบบหล่อเย็นของเหลวขั้นสูง และการนำน้ำเสียกลับมาใช้ใหม่ เพื่อลดการพึ่งพาน้ำจืด

การขยายตัวของโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลและ AI ทำให้ความต้องการใช้น้ำของศูนย์ข้อมูลพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็วทั่วโลก รวมถึงในประเทศไทย การนำกลยุทธ์การจัดการน้ำแบบหมุนเวียนและระบบหล่อเย็นขั้นสูงมาใช้จึงเป็นทางออกที่สำคัญเพื่อความยั่งยืนของทรัพยากรน้ำ

การขยายตัวของโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลและ AI ทำให้ความต้องการใช้น้ำของศูนย์ข้อมูลพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็วทั่วโลก รวมถึงในประเทศไทย การนำกลยุทธ์การจัดการน้ำแบบหมุนเวียนและระบบหล่อเย็นขั้นสูงมาใช้จึงเป็นทางออกที่สำคัญเพื่อความยั่งยืนของทรัพยากรน้ำ

ความท้าทายด้านน้ำที่มาพร้อมกับยุค AI

ในขณะที่ศูนย์ข้อมูล (Data Centres) กลายเป็นหัวใจสำคัญของการเชื่อมต่อสมัยใหม่ ขับเคลื่อนทุกอย่างตั้งแต่บริการคลาวด์ไปจนถึงปัญญาประดิษฐ์ (AI) การเติบโตนี้กลับมาพร้อมกับต้นทุนด้านสิ่งแวดล้อมที่ซ่อนอยู่ นั่นคือ การใช้น้ำที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพื่อการหล่อเย็น

รายงานประเมินล่าสุดระบุว่า การเร่งนำ AI มาใช้เพียงอย่างเดียว อาจส่งผลให้มีการใช้น้ำเพิ่มขึ้นระหว่าง 4.2 ถึง 6.6 พันล้านลูกบาศก์เมตรภายในปี พ.ศ. 2570 ซึ่งรวมถึงการหล่อเย็นในพื้นที่และการผลิตไฟฟ้าภายนอก ตัวเลขนี้เทียบเท่ากับปริมาณน้ำที่เดนมาร์กใช้ต่อปีถึงสี่ถึงหกเท่า เน้นย้ำถึงความจำเป็นเร่งด่วนในการดำเนินการ

สถานการณ์ในประเทศไทย แรงกดดันต่อทรัพยากรน้ำ

ประเทศไทยเองก็มีการเติบโตของศูนย์ข้อมูลอย่างก้าวกระโดด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ซึ่งเป็นฐานเศรษฐกิจดิจิทัลที่สำคัญ การขยายตัวนี้กำลังสร้างความกังวลต่อการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ

ข้อมูลจากกรมทรัพยากรน้ำบาดาล (พ.ศ. 2565) ชี้ให้เห็นว่า พื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล มีการสูบใช้น้ำบาดาลในภาคอุตสาหกรรมอย่างหนาแน่น ถึงแม้จะมีการควบคุมอย่างเข้มงวดแล้ว แต่การเพิ่มขึ้นของความต้องการน้ำจากอุตสาหกรรมใหม่ เช่น ศูนย์ข้อมูลที่ต้องการน้ำหล่อเย็นปริมาณมาก อาจกลายเป็นแรงกดดันใหม่ต่อแหล่งน้ำผิวดินและน้ำบาดาล ซึ่งส่งผลต่อการทรุดตัวของแผ่นดินในระยะยาวและเสี่ยงต่อการขาดแคลนในพื้นที่วิกฤต

การจัดการน้ำที่ยั่งยืนจึงไม่ใช่แค่เรื่องของภาพลักษณ์ แต่เป็นความจำเป็นเชิงกลยุทธ์เพื่อป้องกันวิกฤตน้ำในระดับภูมิภาค

กลยุทธ์ "น้ำหมุนเวียน" นำร่องสู่ความยั่งยืน

โอกาสในการแก้ไขปัญหาอยู่ที่การนำกลยุทธ์การจัดการน้ำแบบหมุนเวียน (Circular Water Management) มาใช้ ซึ่งสามารถประหยัดน้ำได้สูงสุดถึง 75% แนวทางนี้แบ่งออกเป็นสองเสาหลัก

1. การเพิ่มประสิทธิภาพการใช้น้ำ (Water Optimization)

  • เป็นการลดการใช้น้ำจริงของศูนย์ข้อมูลผ่านระบบบริหารจัดการน้ำอัจฉริยะ (Smart Water Management Systems) ที่ใช้เซ็นเซอร์แบบเรียลไทม์ ซึ่งช่วยลดการใช้น้ำได้สูงสุด 25%
  • การหล่อเย็นแบบของเหลวขั้นสูง (Advanced Liquid Cooling): เช่น การหล่อเย็นแบบจุ่ม (Liquid Immersion Cooling) และ การหล่อเย็นโดยตรงถึงชิป (Direct-to-Chip Cooling) โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การหล่อเย็นแบบจุ่มสามารถลดการใช้น้ำได้สูงถึง 91% และลดการใช้พลังงานได้ 50% เมื่อเทียบกับการหล่อเย็นด้วยอากาศแบบดั้งเดิม

2. การเติมน้ำกลับคืนสู่แหล่งน้ำ (Water Replenishment)

เป็นการฟื้นฟูแหล่งน้ำในพื้นที่ที่ศูนย์ข้อมูลดำเนินการอยู่ เช่น

  • การบำบัดและนำน้ำเสียกลับมาใช้ใหม่ (Wastewater Treatment and Reuse): ซึ่งสามารถลดการพึ่งพาน้ำจืดได้ถึง 50%
  • การฟื้นฟูน้ำใต้ดิน (Groundwater Recharge) และการอนุรักษ์น้ำผ่านการเกษตรที่มีประสิทธิภาพ: ตัวอย่างเช่น Kilimo สตาร์ทอัพด้านเทคโนโลยีการเกษตร (Agritech) ใช้ AI เพื่อวิเคราะห์ข้อมูลและเพิ่มประสิทธิภาพการชลประทานให้กับเกษตรกร ซึ่งสามารถอนุรักษ์น้ำได้ถึง 30 ล้านลูกบาศก์เมตร ทั่วโลก

ผนึกกำลังเพื่ออนาคตน้ำที่ยั่งยืน

การนำเทคโนโลยีและกลยุทธ์เหล่านี้มาใช้อย่างเต็มรูปแบบมักเผชิญกับอุปสรรค เช่น การขาดแคลนแบบจำลองทางธุรกิจที่ชัดเจน และความซับซ้อนในการบูรณาการเทคโนโลยีใหม่เข้ากับโครงสร้างพื้นฐานเดิม

การเอาชนะอุปสรรคเหล่านี้จึงต้องอาศัย ความร่วมมือ ตลอดทั้งห่วงโซ่คุณค่า ทั้งผู้ประกอบการศูนย์ข้อมูลรายใหญ่ (Hyperscale Operators) ผู้ให้บริการเทคโนโลยี สตาร์ทอัพ และชุมชนท้องถิ่น การสร้างระบบนิเวศนวัตกรรมที่แบ่งปันโครงสร้างพื้นฐานและความรู้ จะช่วยเร่งการนำกลยุทธ์การจัดการน้ำแบบหมุนเวียนมาใช้ และสร้างผลกระทบเชิงบวกที่ยิ่งใหญ่กว่าร่วมกัน เพื่อให้ศูนย์ข้อมูลสามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืนในขณะที่ยังคงรักษาสถานะของทรัพยากรน้ำจืดที่สำคัญไว้ได้

ที่มา : Accenture