หาดใหญ่ 'วิกฤติสุดในรอบ 15 ปี จากฝน 300 ปี' เร่งถอดบทเรียนน้ำท่วมซ้ำซาก

หาดใหญ่ 'วิกฤติสุดในรอบ 15 ปี จากฝน 300 ปี' เร่งถอดบทเรียนน้ำท่วมซ้ำซาก

หาดใหญ่เผชิญวิกฤติน้ำท่วมหนักที่สุดในรอบ 15 ปี ซึ่งเป็นผลมาจากปริมาณฝนที่ตกหนักรุนแรงที่สุดในรอบ 300 ปี สาเหตุสำคัญที่ทำให้สถานการณ์รุนแรงคือลักษณะภูมิประเทศที่เป็น "แอ่งกระทะ" และเป็น "ลุ่มน้ำสั้น"

KEY

POINTS

  • หาดใหญ่เผชิญวิกฤติน้ำท่วมหนักที่สุดในรอบ 15 ปี ซึ่งเป็นผลมาจากปริมาณฝนที่ตกหนักรุนแรงที่สุดในรอบ 300 ปี
  • สาเหตุสำคัญที่ทำให้สถานการณ์รุนแรงคือลักษณะภูมิประเทศที่เป็น "แอ่งกระทะ" และเป็น "ลุ่มน้ำสั้น" ทำให้ระบายน้ำปริมาณมหาศาลไม่ทันและมีเวลาเตือนภัยน้อย
  • มีการเสนอให้ถอดบทเรียนเพื่อแก้ปัญหาซ้ำซาก โดยเน้นการสร้างคลองระบายน้ำขนาดใหญ่เพิ่มเติม และยกระดับการจัดการน้ำให้เป็น "วาระแห่งชาติ" เพื่อความต่อเนื่องของนโยบาย

น้ำท่วมภาคใต้ครั้งใหญ่ครั้งนี้ ที่กระทบกว่า 8 แสนครัวเรือน ประชาชนกว่า 2 ล้านคนในพื้นที่ 9 จังหวัด ได้แก่ สุราษฎร์ธานี, นครศรีธรรมราช, ตรัง, พัทลุง, สตูล, สงขลา, ปัตตานี, ยะลา และนราธิวาส ประสบภัยน้ำท่วมอย่างรุนแรง โดยเฉพาะอำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ซึ่งถูกจัดเป็นพื้นที่วิกฤติที่สุด ถือเป็นภัยครั้งใหญ่ที่สุดในรอบ 15 ปี

"ผศ.ดร.ณัฐ มาแจ้ง" อาจารย์ภาควิชาวิศวกรรมทรัพยากรน้ำ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ให้สัมภาษณ์กับ 'กรุงเทพธุรกิจ' ว่า สาเหตุหลักคือ ฝนที่หนักและรุนแรงที่สุดในรอบกว่า 300 ปี

สาเหตุของน้ำท่วมใหญ่ในพื้นที่ภาคใต้ โดยเฉพาะกรณี อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา มาจากปัจจัยภูมิอากาศที่ซับซ้อน โดยลมตะวันออกเฉียงเหนือซึ่งพัดเข้าสู่ประเทศไทยในช่วงฤดูหนาว ได้พัดผ่านอ่าวไทยและสะสมความชื้นจำนวนมาก เมื่อกระทบกับเทือกเขาสันกลาคีรีบริเวณต้นน้ำคลองอู่ตะเภา จึงเกิดการยกตัวและทำให้ฝนตกหนักต่อเนื่องตลอดหลายวัน

ปริมาณฝนที่ตกสะสมในบางพื้นที่สูงถึง 1,000–1,200 มิลลิเมตรภายในเวลาเพียง 3–7 วัน ซึ่งใกล้เคียงกับปริมาณฝนเฉลี่ยทั้งปีของประเทศ ถือเป็นปรากฏการณ์ที่คล้ายกับ “เรนบอมบ์” (Rain Bomb) แต่มีความรุนแรงและยาวนานกว่า

นอกจากนี้ อัตราการไหลของน้ำที่สถานีวัดน้ำคลองอู่ตะเภาก่อนเข้าสู่เมืองหาดใหญ่ วัดได้สูงสุดถึง 2,600 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที และคาดว่าอาจเพิ่มขึ้นถึง 2,800 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ซึ่งใกล้เคียงกับระดับสูงสุดของแม่น้ำเจ้าพระยาตอนผ่านเขื่อนเจ้าพระยา ขณะที่ภูมิประเทศของหาดใหญ่มีลักษณะเป็น “แอ่งกระทะ” ทำให้กลายเป็นจุดรับน้ำหลัก โดยมีลำน้ำสาขาหลายสายไหลรวมเข้าสู่ใจกลางเมือง ส่งผลให้พื้นที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมอย่างหนักและรวดเร็ว

หาดใหญ่ 'วิกฤติสุดในรอบ 15 ปี จากฝน 300 ปี' เร่งถอดบทเรียนน้ำท่วมซ้ำซาก

จัดการน้ำหาดใหญ่ท้าทาย เวลาเตือนภัยน้อย

"ผศ.ดร.ณัฐ" กล่าวถึงความท้าทายในการจัดการน้ำในพื้นที่ อ.หาดใหญ่ ว่า เกิดจากลักษณะของลุ่มน้ำคลองอู่ตะเภาที่มีความสั้น น้ำจากต้นน้ำใช้เวลาเพียง 8–9 ชั่วโมงก็ไหลถึงตัวเมือง ทำให้ระยะเวลาในการแจ้งเตือนภัยจากสถานีวัดน้ำกลางทางมีเพียง 4–5 ชั่วโมงก่อนน้ำจะถึงพื้นที่ ซึ่งถือว่าสั้นมากและยากต่อการรับมืออย่างมีประสิทธิภาพ

นอกจากนี้ แม้จะมีการสร้างคลองระบายน้ำ ร.1 ความยาวกว่า 21 กิโลเมตร ที่สามารถระบายน้ำได้สูงสุดถึง 1,200 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที แต่ในเหตุการณ์น้ำท่วมครั้งใหญ่ล่าสุด ปริมาณน้ำที่ถูกตัดยอดออกไปยังคงเหลือมากกว่า 1,200 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาทีไหลเข้าสู่เมือง ส่งผลให้เกิดน้ำท่วมหนักอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

แนวทางแก้ไขที่ถูกเสนอเพื่อรับมือกับปัญหานี้ คือการสร้างคลองระบายน้ำขนาดใหญ่เพิ่มเติมในลักษณะเดียวกับคลอง ร.1 เพื่อเพิ่มศักยภาพในการตัดยอดน้ำออกจากเมืองได้ทันท่วงที

เนื่องจากพื้นที่ตอนบนของลุ่มน้ำมีความสามารถในการเก็บกักน้ำจำกัด การขยายระบบระบายน้ำจึงเป็นมาตรการสำคัญที่จะช่วยลดความเสี่ยงและบรรเทาความเสียหายจากน้ำท่วมในอนาคต

ถอดบทเรียน ภัยพิบัติซ้ำซากเกิดจากอะไร

"ผศ.ดร.ณัฐ" กล่าวด้วยว่า ประเทศไทยยังคงเผชิญปัญหาน้ำท่วมและภัยแล้งซ้ำซากทุกปี โดยมีทั้งปัจจัยทางธรรมชาติและภูมิประเทศที่ซับซ้อนเป็นตัวแปรสำคัญ ความผันผวนของภูมิอากาศทำให้อุณหภูมิพื้นผิวทะเลสูงขึ้นและแกว่งมากขึ้น ส่งผลให้การระเหยและการสะสมความชื้นในบรรยากาศเพิ่มขึ้นจนเกิดฝนตกหนักต่อเนื่อง โดยเน้นว่าปัจจัยที่มีบทบาทสำคัญต่อสถานการณ์นี้ อาทิ

  • ความผันผวนของภูมิอากาศที่ส่งผลให้อุณหภูมิเฉลี่ยพื้นผิวทะเลแกว่งมากขึ้น กระตุ้นให้เกิดการระเหยของน้ำและสะสมความชื้นในบรรยากาศมากขึ้น ซึ่งก่อให้เกิดฝนตกหนัก
  • ข้อจำกัดของแหล่งเก็บกักน้ำ โดยเฉพาะอ่างเก็บน้ำขนาดกลางที่เก็บน้ำได้เพียงปีเดียว หากเกิดภัยแล้งข้ามปีจะไม่เพียงพอ
  • การเปลี่ยนแปลงการใช้ประโยชน์ที่ดิน เช่น การขยายเมืองที่เพิ่มพื้นที่ดาดคอนกรีต ทำให้น้ำไหลบนผิวดินเพิ่มขึ้นเกือบสองเท่า ส่งผลให้น้ำท่วมรุนแรงและแล้งง่ายขึ้น
  • ข้อจำกัดด้านการพยากรณ์ปริมาณฝน ที่สามารถทำนายได้แม่นยำเพียง 3 วันแรก และลดความแม่นยำเมื่อเลย 7 วัน ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการบริหารจัดการน้ำในอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ที่ต้องใช้เวลานานในการระบายน้ำ

นอกจากนี้ ปัจจัยด้านการบริหารและนโยบายก็เป็นอีกหนึ่งปัญหาที่ทำให้การจัดการน้ำไม่ราบรื่น ได้แก่

  • ความไม่ต่อเนื่องของนโยบาย เนื่องจากการเปลี่ยนรัฐบาลหรือผู้ดูแลด้านน้ำบ่อยครั้ง ทำให้นโยบายบริหารน้ำขาดความมั่นคงและเปลี่ยนแปลงตามที่ปรึกษาทางการเมืองแต่ละชุด
  • โครงการขนาดใหญ่ที่มีมูลค่าสูงถึง 70,000–80,000 ล้านบาท มักประสบปัญหาความชะงักงัน เพราะต้องการความต่อเนื่องในการดำเนินการที่ไม่สามารถเสร็จภายในรัฐบาลเดียว
  • การบูรณาการข้อมูลระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับน้ำซึ่งมีมากถึง 40 หน่วยงาน ยังไม่เต็มประสิทธิภาพ และยังต้องพัฒนาให้ดีขึ้นเพื่อเสริมความพร้อมในการบริหารจัดการน้ำของประเทศในอนาคต

เร่งยกระดับการจัดการน้ำเป็น "วาระของชาติ"

ผศ.ดร.ณัฐ เสนอแนวทางการแก้ไขอย่างเป็นรูปธรรม โดยมีหัวใจสำคัญคือ การสร้างความต่อเนื่อง

"ผศ.ดร.ณัฐ" ได้นำเสนอแนวทางแก้ไขและข้อเสนอแนะเพื่อยกระดับการบริหารจัดการน้ำของประเทศไทยให้มีประสิทธิภาพและยั่งยืนมากขึ้น โดยเน้นการสร้างความต่อเนื่องทางนโยบายผ่านการจัดทำ "แผนยุทธศาสตร์น้ำแห่งชาติ" ที่เป็นโครงสร้างหลักและชัดเจน

เพื่อให้ทุกภาคส่วนเดินไปในทิศทางเดียวกัน และควรยกระดับแผนยุทธศาสตร์น้ำให้เป็น "วาระของชาติ" โดยได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลอย่างจริงจัง ไม่หยุดชะงักเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาล พร้อมมอบหมายให้สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) เป็นเจ้าภาพหลักในการกลั่นกรองและขับเคลื่อนแผนแม่บทของประเทศอย่างเต็มที่

นอกจากนี้ ยังมีข้อเสนอในการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานและการบริหารจัดการน้ำ เช่น

  • การสร้างคลองระบายน้ำขนาดใหญ่ในลุ่มน้ำที่มีน้ำไหลเร็วเพื่อป้องกันน้ำท่วมฉับพลัน
  • การเพิ่มแหล่งเก็บกักน้ำทางเหนือน้ำในลุ่มน้ำที่เผชิญทั้งน้ำท่วมและแล้ง เช่น ลุ่มน้ำยม เพื่อบรรเทาทั้งสองปัญหา
  • การใช้หลักการ "เก็บน้ำไว้ในทุ่ง" เพื่อสำรองน้ำใช้ในฤดูแล้ง
  • การออกแบบโครงการป้องกันน้ำท่วมให้รองรับฝนที่มีความรุนแรงสูงขึ้นตามรอบปี เช่น ฝนที่เกิดขึ้นในรอบ 100 ปี หรือ 300 ปี โดยต้องประเมินความคุ้มค่าของการลงทุนเทียบกับความเสียหายที่ลดลงอย่างรอบคอบ

พร้อมกันนี้ "ผศ.ดร.ณัฐ" ยังเน้นย้ำความสำคัญของการสื่อสารข้อมูลน้ำที่ชัดเจนและถูกต้องกับประชาชน เพื่อสร้างความเข้าใจที่ถูกต้อง และหลีกเลี่ยงการแพร่ข้อมูลผิดซึ่งอาจทำให้การบริหารจัดการน้ำติดขัด โดยเฉพาะเรื่องความเข้าใจผิดเกี่ยวกับ "ฝน 100 ปี" หรือ "ฝน 300 ปี" ที่ไม่ได้หมายความว่าจะเกิดเพียงครั้งเดียวในรอบเวลานั้น แต่เป็นโอกาสเกิดเหตุการณ์ในแต่ละปี ซึ่งเหตุการณ์ฝนหนักหรือน้ำท่วมใหญ่สามารถเกิดขึ้นซ้ำๆ และอาจติดกันหลายปีในอนาคตได้เสมอ