BIG ชี้ ต้นทุนไฮโดรเจนต้องลด วอนรัฐดันกฎหมายพลังงานสะอาด หนุนไทยผู้นำอาเซียน

BIG ชี้ว่าต้นทุนเทคโนโลยีไฮโดรเจนที่ยังสูงเป็นอุปสรรคสำคัญ จึงเรียกร้องให้ภาครัฐเร่งออกกฎหมายพลังงานสะอาดเพื่อสร้างแรงจูงใจให้ภาคเอกชน
KEY
POINTS
- BIG ชี้ว่าต้นทุนเทคโนโลยีไฮโดรเจนที่ยังสูงเป็นอุปสรรคสำคัญ จึงเรียกร้องให้ภาครัฐเร่งออกกฎหมายพลังงานสะอาดเพื่อสร้างแรงจูงใจให้ภาคเอกชน
- กลุ่ม BIG และบริษัทแม่ได้ลงทุนในโครงการผลิตกรีนไฮโดรเจนและบลูไฮโดรเจนขนาดใหญ่ทั่วโลก เพื่อเตรียมความพร้อมรองรับความต้องการในอนาคต
- ประเทศไทยมีศักยภาพในการก้าวขึ้นเป็นผู้นำด้านพลังงานสะอาดในอาเซียน หากภาครัฐและเอกชนร่วมมือกันผลักดันวาระนี้อย่างจริงจัง
“รามานี เวลู” กรรมการผู้จัดการ บริษัท บางกอกอินดัสเทรียลแก๊ส จำกัด หรือ บีไอจี (BIG) ได้แสดงวิสัยทัศน์ในเสวนาภายใต้หัวข้อ "Rethinking Energy, Reinventing Industry, Reimagine Thailand" ของงาน Generating a Cleaner Future Forum 2025
โดยเน้นย้ำถึงความท้าทายหลักในการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ ซึ่งรวมถึงปัญหาต้นทุนการลงทุนและค่าใช้จ่ายในการติดตั้งใช้งานที่ยังอยู่ในระดับสูงมาก เนื่องจากเทคโนโลยีเหล่านี้ยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นของการพัฒนา
“รามานี” ระบุถึงสองประเด็นสำคัญที่ต้องให้ความสำคัญเพื่อขับเคลื่อนวาระนี้ ประการแรกคือ การลดต้นทุน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเราต้องการเปลี่ยนไปสู่ผลิตภัณฑ์คาร์บอนต่ำและเศรษฐกิจไฮโดรเจน
ต้นทุนจำเป็นต้องลดลงอย่างมาก ซึ่งอาจสูงถึงร้อยละ 90 การบรรลุเป้าหมายนี้ต้องอาศัยการมุ่งเน้นที่ทักษะความสามารถ รวมถึงการวิจัยและพัฒนา (R&D) เพื่อสร้างนวัตกรรมที่จะช่วยให้ต้นทุนลดลงและช่วยให้อุตสาหกรรมสามารถนำเทคโนโลยีเหล่านี้ไปปรับใช้ได้
ประการที่สองคือ ความจำเป็นในการมีกรอบการกำกับดูแล กฎเกณฑ์ และกฎหมาย เพื่อผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลง เนื่องจากหากไม่มีสิ่งเหล่านี้ จะไม่มีแรงจูงใจที่แท้จริงสำหรับบริษัทในการเดินหน้า แม้ว่าทุกองค์กรจะมีพันธะทางศีลธรรมในการเปลี่ยนแปลง แต่หลักเศรษฐศาสตร์ก็เข้ามามีบทบาท ดังนั้น รัฐบาลจึงจำเป็นต้องผลักดันวาระนี้ด้วย
ทุ่มลงทุนระดับโลกในไฮโดรเจน
ในส่วนของสิ่งที่กลุ่ม BIG กำลังดำเนินการ “รามานี” เปิดเผยว่า Air Products and Chemicals Inc. ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ถือหุ้นของ BIG ได้ลงทุนจำนวนมหาศาลทั่วโลก และได้ยกตัวอย่างโครงการสำคัญสองแห่ง ดังนี้
- โรงงานผลิตกรีนไฮโดรเจนในซาอุดีอาระเบีย: เป็นการลงทุนหลายล้านดอลลาร์ ซึ่งจะเริ่มดำเนินการได้ภายในกรอบเวลาประมาณ 12 ถึง 15 เดือน โรงงานนี้จะผลิตกรีนไฮโดรเจนประมาณ 750 กิโลกรัมต่อวัน และเทียบเท่ากับ แอมโมเนีย 1.2 ล้านตัน โดยแอมโมเนียจะถูกใช้เป็นตัวพาสำหรับการขนส่งไฮโดรเจน
- โรงงานผลิตบลูไฮโดรเจนในสหรัฐอเมริกา: เป็นการลงทุนหลายล้านดอลลาร์เช่นกัน และจะเริ่มดำเนินการได้ในกรอบเวลา 12 ถึง 15 เดือน โดยผลิตภัณฑ์บลูแอมโมเนียจะสามารถจัดส่งได้จากโรงงานนี้
“ผลิตภัณฑ์เหล่านี้จะพร้อมใช้งาน แต่ในระยะแรกต้นทุนจะยังคงสูงมาก และจำเป็นต้องลดต้นทุนลงต่อไป”
โซลูชั่นคาร์บอนต่ำในประเทศไทย
“รามานี” กล่าวว่า สำหรับประเทศไทย BIG ได้ดำเนินการผลิต ผลิตภัณฑ์ก๊าซอุตสาหกรรมคาร์บอนต่ำ อยู่ไแล้วที่โรงงาน ASU (Air Separation Unit) และโรงงานแห่งที่สองกำลังจะเปิดดำเนินการในเร็วๆ นี้ ลูกค้าจำนวนมากได้ใช้ผลิตภัณฑ์ออกซิเจนและไนโตรเจนที่มีความเข้มข้นของคาร์บอนต่ำลงแล้ว เนื่องจากพวกเขาเห็นคุณค่าในการช่วยลดรอยเท้าทางสิ่งแวดล้อม
นอกจากนี้ BIG ยังนำเสนอเทคโนโลยีและโซลูชั่นหลายอย่างเพื่อสนับสนุนอุตสาหกรรม ดังนี้
- การกู้คืนพลังงาน (Energy Recovery): มีความสามารถในการกู้คืนพลังงาน โดยชี้ว่าพลังงานจำนวนมากในโลกทุกวันนี้ถูกทิ้งให้เสียเปล่า ตัวอย่างเช่น การใช้เทคโนโลยีในการกู้คืนพลังงานเพื่อใช้สำหรับอุณหภูมิต่ำ
- การใช้งานด้านความเย็น (Cooling Applications): สามารถให้บริการด้านการทำความเย็น การแช่เย็น และการทำความเย็นในจุดที่จำเป็น
- หัวเผาประสิทธิภาพสูง (Highly Efficient Burners): นำเสนอเทคโนโลยีหัวเผาชั้นนำในอุตสาหกรรมที่ใช้ออกซิเจนและเชื้อเพลิง ซึ่งมีระดับการปล่อยมลพิษต่ำมาก
- การจัดการพลังงาน (Power Management): มีเครื่องมือและแอปพลิเคชันที่สามารถใช้จัดการพลังงาน ซึ่งช่วยลดการปล่อยมลพิษด้วย
เน้นย้ำ 'ไฮโดรเจน' ในอุตสาหกรรมที่ลดคาร์บอนยาก
“รามานี” ยังให้ความสำคัญกับการผลักดันการนำไฮโดรเจนมาใช้ โดยถือว่าไฮโดรเจนเป็นเชื้อเพลิงทางเลือกที่สำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจากมีการปล่อยมลพิษต่ำถึงศูนย์
ไฮโดรเจนเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการใช้งานในอุตสาหกรรมที่ยากต่อการลดการปล่อยคาร์บอน เช่น อุตสาหกรรมเหล็ก การนำไฮโดรเจนเข้ามาใช้ในอุตสาหกรรมเหล่านี้จะช่วยลดการปล่อยมลพิษและสร้างอนาคตที่สะอาดขึ้น
พร้อมกันนี้ ได้กล่าวถึงแนวโน้มในประเทศไทยที่มีการพิจารณาการผสมไฮโดรเจนเข้ากับท่อส่งก๊าซธรรมชาติ โดยผลิตภัณฑ์ไฮโดรเจนของบริษัทจะพร้อมใช้งานในอนาคตอันใกล้นี้และสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้
นอกจากเทคโนโลยีพลังงานแล้ว นายเวลูยังชี้ว่าต้องมองไปที่ด้าน ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และแมชชีนเลิร์นนิง (Machine learning) ซึ่งมีความสำคัญในการควบคุมที่เข้มงวดขึ้นและการดำเนินงานที่ปราศจากอุบัติเหตุ โดยเชื่อว่าเมื่อมีการฝึกฝนอย่างเหมาะสม เครื่องจักรสามารถทำงานได้ดีกว่ามนุษย์ในบางด้าน ซึ่งเป็นพื้นที่ที่จำเป็นต้องสร้างสรรค์และปรับปรุงเพื่อช่วยเพิ่มความปลอดภัย
ไทยมีโอกาสก้าวเป็นผู้นำอาเซียน
“รามานี” ให้ความเห็นเกี่ยวกับการเปรียบเทียบกับประเทศอื่นๆ ในภูมิภาค โดยยอมรับว่าสิงคโปร์และอินโดนีเซียอาจมีความก้าวหน้าไปมาก อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยมีโอกาสที่จะก้าวไปข้างหน้าอย่างมาก เนื่องจากแรงขับเคลื่อนที่มุ่งมั่น ในภาคธุรกิจและในหมู่ประชาชนชาวไทยที่จะดำเนินการบางสิ่งบางอย่าง
"ประเทศไทยมีตำแหน่งที่ดีในการเป็นประเทศถัดไปที่จะเป็นผู้นำในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สิ่งที่จำเป็นคือการรวมความมุ่งมั่นเข้ากับบทบาทของรัฐบาล และสิ่งที่สำคัญที่สุดคือ เราต้องการการลงมือทำ ไม่ใช่แค่การพูดคุย หากทุกภาคส่วนทั้ง คน อุตสาหกรรม รัฐบาล และหน่วยงานต่างๆ มุ่งเน้นไปที่วาระนี้และผลักดันให้ก้าวไปข้างหน้า โอกาสนี้ถือว่าจะเกิดขึ้นได้จริง"







