'ราช กรุ๊ป' ชี้พลังงานถึงจุดเปลี่ยน แนะรัฐเคาะทิศทางประเทศให้ชัด รับกติกาโลก

"ราช กรุ๊ป" ชี้ “ระบบพลังงานไทยกำลังเข้าสู่จุดเปลี่ยน” แนะรัฐเคาะทิศทางประเทศให้ชัด พร้อมเร่งปฏิรูปตลาดไฟฟ้า-กติกาคาร์บอน รองรับโลกใหม่สีเขียว
นายนิทัศน์ วรพนพิพัฒน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ราช กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) กล่าวในเวทีเสวนา GENERATING A CLEANER FUTURE FORUM 2025 หัวข้อ "Rethinking Energy, Reinventing Industry, Reimagining Thailand" จัดโดย "กรุงเทพธุรกิจ" ว่า ปัจจัยเสี่ยงด้านความมั่นคงพลังงานในอนาคตว่า โลกกำลังเผชิญ “ดีสรับชันครั้งใหญ่” จากทั้งภูมิรัฐศาสตร์และเทคโนโลยี
โดยสหรัฐ-จีนกำลังกำหนดมาตรฐานใหม่ ทำให้ธุรกิจพลังงานจำเป็นต้อง “คิดใหม่ ทำใหม่” เพราะภาคพลังงานเป็นแหล่งปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูงถึง 70% และกฎหมายด้านสภาพภูมิอากาศ เช่น พ.ร.บ.โลกร้อนและกลไก CBAM กำลังเป็นแรงกดดันโดยตรงต่ออุตสาหกรรมไทย
นายนิทัศน์ กล่าวว่า แม้โรงไฟฟ้าถ่านหินจะเป็นฐานรากของระบบไฟฟ้าไทย แต่โลกเปลี่ยน ลูกค้าเปลี่ยน และกฎเกณฑ์ใหม่กำลัง “ลงโทษผู้ใช้ฟอสซิล” อย่างชัดเจน ขณะที่ธุรกิจใหม่กำลังก่อเกิด เช่น เชื้อเพลิงการบินยั่งยืน (SAF) ที่ยุโรปกำหนดสัดส่วนขั้นต่ำ 2–3% ซึ่งจะกลายเป็นดีมานด์ใหม่ของไทยในอนาคต
นอกจากนี้ AI และดิจิทัลเทคโนโลยีจะเข้ามาช่วยโรงไฟฟ้าลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพ แต่ธุรกิจต้องเร่งขยายสู่พลังงานหมุนเวียนทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งกำลังเปิดโอกาสใหม่จำนวนมาก
ทั้งนี้ ราชกรุ๊ปยกตัวอย่างประสบการณ์ในออสเตรเลียที่ตั้งเป้าพลังงานหมุนเวียนสูงถึง 85% แต่ต้องเผชิญความท้าทาย 2 ด้านใหญ่ คือ
1. Inertia หายไป ด้วยการผลิตจากแดด ลมทำให้ความถี่ไฟฟ้าตกเร็ว ต้องพึ่งเทคโนโลยี Synthetic Inertia หรือโรงไฟฟ้าก๊าซ/ฟอสซิลช่วยพยุงระบบ
บริษัทเข้าไปลงทุนติดตั้งโซลูชัน modern grid และโรงไฟฟ้าก๊าซเพื่อเพิ่มความเสถียร
2. Black Start Services จำเป็น ด้วยพลังงานจากระบบ Inverter ไม่สามารถสตาร์ทเมื่อระบบไฟฟ้าล่มทั้งหมด ต้องใช้โรงไฟฟ้าเก่า เช่น แก๊สเอนจิน ทำหน้าที่ Black Start ซึ่งเป็น “ต้นทุนที่ต้องจ่าย” หากต้องการใช้ RE มากขึ้นอย่างปลอดภัย
"ไทยเองก็เคยเกิดไฟตก ไฟดับสองครั้งในช่วงปีที่ผ่านมา จึงต้องให้ความสำคัญต่อความมั่นคงของระบบมากขึ้น"
ทั้งนี้ ค่าไฟแบบ “ราคาเดียวทั้งวัน” ทำให้ผู้ใช้ไฟที่สร้าง Peak Demand จ่ายเท่ากับผู้ใช้ทั่วไป เป็นระบบที่ไม่เป็นธรรม และไม่จูงใจให้มีการจัดการโหลดจำเป็นต้องปรับไปสู่ Time-of-Use (TOU) รวมถึงกลไกตลาดและราคาไฟที่สะท้อนต้นทุนจริง
นายนิทัศน์ กล่าวว่า โมเดลสากล เช่น LGC-only PPA (คล้าย REC) และ Direct PPA ช่วยให้ผู้ผลิตและผู้ใช้เจรจาราคากันเอง โดยไม่เป็นภาระประชาชนทั้งประเทศ และส่งเสริมพลังงานหมุนเวียนให้เติบโตอย่างมีประสิทธิภาพ โดยเวียดนามและออสเตรเลียเริ่มใช้แล้ว แต่ไทยยังอยู่ในเฟสทดลอง (Sandbox) และกำลังอยู่ระหว่างรับฟังความเห็นสาธารณะ
ทั้งนี้ แม้ไทยจะประกาศเป้าหมายเป็นศูนย์กลาง REC ตลาดคาร์บอน และผลักดันกฎหมายโลกร้อน แต่ทิศทางประเทศยังสับสน ไม่มีคำตอบว่าประเทศไทยจะสร้างรายได้จากอะไรในระยะยาว ซึ่งตอนนี้เราเหมือนเล่นดนตรีคนละโน้ต บริษัทอยากลงทุนในไทย แต่ยังไม่รู้จะลงทุนอะไร หากไม่เห็นทิศทางประเทศที่ชัดเจน
อย่างไรก็ตาม ทิศทางโลกกำลังบังคับไทยให้เปลี่ยนผ่าน แต่ต้องทำอย่างมีแผน ไม่เช่นนั้นประเทศอาจ “โชคร้ายทั้งเศรษฐกิจและพลังงาน” โดยเฉพาะเมื่อภาวะโลกร้อนทำให้สภาพอากาศวิกฤต เช่น น้ำท่วมสงขลาที่เกิดเร็วกว่าที่คาด
“โลกเปลี่ยน กติกาเปลี่ยน เราจำเป็นต้องเปลี่ยนเช่นกัน พลังงานหมุนเวียนคืออนาคต แต่ต้องเสริมความมั่นคงของระบบ และภาครัฐต้องให้สัญญาณที่ชัดเจน เพื่อให้เอกชนเดินหน้าลงทุนได้อย่างมั่นใจ”







