ส.อ.ท. ชี้ไทยเร่งคว้า 3 เทคโนโลยีชีวภาพ เตือน SME เสี่ยงถูกกติกาคาร์บอนโลกบีบ

ส.อ.ท. ชี้ไทยต้องเร่งคว้า “3 เทคโนโลยีชีวภาพ” ปลดล็อกเศรษฐกิจสีเขียว—เตือน SMEs เสี่ยงถูกกติกาคาร์บอนโลกบีบหนักที่สุด
นายวิวรรธน์ เหมมณฑารพ รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวในเวทีเสวนา GENERATING A CLEANER FUTURE FORUM 2025 หัวข้อ "Rethinking Energy, Reinventing Industry, Reimagining Thailand" จัดโดย "กรุงเทพธุรกิจ" ว่า
ความท้าทายสูงสุดของไทยวันนี้ คือการรักษาสมดุลระหว่าง การลดคาร์บอน–การเติบโตเศรษฐกิจ–และการแก้ความเหลื่อมล้ำ พร้อมย้ำว่า “โอกาสใหญ่ที่สุด” อยู่ที่ Green Industry และการต่อยอดมูลค่าเพิ่มจาก ภาคการเกษตร แม้สัดส่วนต่อ GDP จะเพียง 7% แต่เป็นแหล่งทำกินของคนไทยมากกว่าครึ่งประเทศ
ทั้งนี้ ไทยต้องรีบคว้า 3 เทคโนโลยีหัวใจของเศรษฐกิจใหม่ ได้แก่ Biotechnology (ไบโอเทคโนโลยี) Bio-based Products (ผลิตภัณฑ์ชีวภาพ) และFuture Food (อาหารอนาคต) ด้วยไทยมี “ต้นทุนทางชีวภาพ” สูงมาก ทั้งสมุนไพร กระชายดำ วัตถุดิบจากความหลากหลายทางชีวภาพ แต่กลับพัฒนาเชิงอุตสาหกรรมในระดับเล็กกว่าเกาหลีและไต้หวันมาก ทั้งที่สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มมหาศาลและเชื่อมโยงไปสู่อุตสาหกรรมสุขภาพ ผู้สูงอายุ และอาหารแห่งอนาคตได้โดยตรง
หนึ่งในอุปสรรคสำคัญคือ ต้นทุนประเมินคาร์บอนของ SME ที่สูงถึง 100,000–300,000 บาทต่อผลิตภัณฑ์ ทำให้ SME ปรับตัวช้าเมื่อเทียบกับประเทศคู่แข่ง และเสี่ยงได้รับผลกระทบโดยตรงจากมาตรการ CBAM (ภาษีคาร์บอนยุโรปสำหรับสินค้านำเข้า) ที่กำลังเข้มงวดยิ่งขึ้น
ดังนั้น ส.อ.ท. จึงเร่งผลักดันการใช้ AI และ Digital Platform ช่วยคำนวณคาร์บอน, แชร์ข้อมูลเพื่อให้ขอใบรับรองได้ “เร็วและถูกลง”, และ ประสานสถาบันการเงินในประเทศและต่างประเทศ เช่น World Bank เพื่อดัน Green Loan มาช่วยลดภาระของ SME
นายวิวรรธน์ชี้ว่าไทยมีจุดแข็งด้าน ฝีมือการผลิต ต้นทุนต่ำ ส่งมอบตรงเวลา จนเป็น OEM ให้ทั่วโลก แต่ยังขาดแบรนด์ของตัวเอง และถ้าไม่โชว์ข้อมูลคาร์บอนได้ชัดเจน จะเสียที่ยืนในห่วงโซ่อุปทานสีเขียว ซึ่งไทยต้องเดินหน้า “3 โก” คือ Go Digital ดิจิทัลยกระดับการผลิต ลดของเสีย ลดคาร์บอน, Go Green ใช้มาตรฐานคาร์บอนและพลังงานสะอาดให้เป็นแต้มต่อ และGo Innovation นวัตกรรมตั้งแต่กระบวนการผลิตไปจนถึงผลิตภัณฑ์ โดยเฉพาะ ไบโอเทค ที่ไทยมีความได้เปรียบทางธรรมชาติอย่างมาก
"ไทยยังลงทุนวิจัยแบบกระจายและซ้ำซ้อนในหลายมหาวิทยาลัย “ทั้งที่ไม่ใช่ประเทศร่ำรวย” จึงต้องใช้นวัตกรรมให้ถูกจุดและสร้างผลตอบแทนจริง"
ทั้งนี้ แม้ภาคเกษตรมีสัดส่วน GDP เพียง 5% แต่อาจเป็น “ตัวเร่งใหญ่” ของเศรษฐกิจสีเขียวผ่านเทคโนโลยีใหม่ เช่น ข้าวลดคาร์บอน, การปลูกผักแบบหลายชั้น (vertical farming), เทคโนโลยี LED ที่ปล่อยความร้อนต่ำ ลดการใช้พลังงาน ซึ่งหากไทยยังคงผลิต พืชราคาต่ำ และสร้างมูลค่าเพิ่มต่ำ จะไม่สามารถยกระดับรายได้เกษตรกร และไม่รอดต่อการแข่งขันในโลกใหม่
นายวิวรรธน์ กล่าวย้ำว่า ต้นทุนพลังงานของไทยยังเป็นภาระต่อภาคการผลิตอย่างมาก หากไม่แก้ จะไม่สามารถสร้าง “ธุรกิจยั่งยืน” ได้ โดยเฉพาะเมื่อไทยมีภาระหนี้ครัวเรือนสูง และต้องพึ่งการท่องเที่ยวกับการส่งออกเป็นหลัก หากธุรกิจไม่สร้างรายได้ การเปลี่ยนผ่านสู่กรีนก็จะตายไปด้วย
ทั้งนี้ ไทยได้ “หยุดนิ่ง” มานานกว่า 20 ปี ขณะที่เวียดนาม ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย ขยับขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ปัจจัยภายนอกอย่างภูมิรัฐศาสตร์รุนแรงกว่าเดิม ไทยเคยแข็งแกร่งช่วงปี 1995 เมื่อเยนแข็งและเป็นฐานการผลิตของเอเชีย แต่วันนี้บทบาทลดลงมาก จึงควรเริ่ม “รีเทรนคนทั้งระบบ” เพราะไทยมีนักวิจัยเก่งจำนวนมาก และมีศักยภาพด้านชีวภาพ แต่ต้องใช้ให้ตรงจุดและไม่ซ้ำซ้อน
อย่างไรก็ตาม เพื่อรักษาความสามารถแข่งขัน ไทยต้องมีระบบจัดการไฟฟ้าที่เสถียร รับมือความต้องการใหม่ ต้องเพิ่มประสิทธิภาพ ระบบเตือนภัยน้ำท่วมและภัยธรรมชาติ เร่งดึง Green Finance ให้ SMEs เข้าถึงง่ายขึ้น ผลักดันไทยให้กลายเป็น “ซัพพลายเชนสีเขียว” ที่มีมาตรฐานคาร์บอนชัดเจน
“ไทยมีไบโอเทค มีทรัพยากรชีวภาพ มีคนเก่ง แต่เราใช้ไม่คุ้ม เพราะลงทุนแตกเป็นเสี่ยง ๆ ถ้าจะหลุดพ้นความยากจน ต้องใช้นวัตกรรมอย่างถูกที่ถูกทาง หากไทยไม่เร่งความเร็วในการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจสีเขียว ประเทศจะถูกทิ้งห่างยิ่งกว่าเดิมในยุคที่การแข่งขันไม่ได้วัดกันแค่ “ต้นทุนแรงงานต่ำ” อีกต่อไป แต่ขึ้นกับ “เทคโนโลยี มาตรฐานคาร์บอน นวัตกรรม” เป็นหลัก







