'ชาญศิลป์' ชี้โลกเร่งทดแทนฟอสซิล แนะไทยปรับครั้งใหญ่ ใช้วิกฤติพลิกประเทศ

'ชาญศิลป์' ชี้โลกเร่งทดแทนฟอสซิล แนะไทยปรับครั้งใหญ่ ใช้วิกฤติพลิกประเทศ

BIG เปิดเวทีพลังงานปี 2025 “ชาญศิลป์” ชี้โลกเร่งทดแทนฟอสซิล-ไทยต้องกล้าปรับครั้งใหญ่ ใช้วิกฤติเป็นโอกาสพลิกประเทศ

นายชาญศิลป์ ตรีนุชกร กรรรมการ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) อดีต CEO บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) อดีต CEO บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) (ช่วง Covid-19) อดีตผู้ทำแผน และอดีตผู้บริหารแผน บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาช) กล่าวในเวทีเสวนา GENERATING A CLEANER FUTURE FORUM 2025 หัวข้อ "Rethinking Energy, Reinventing Industry, Reimagining Thailand" จัดโดย "กรุงเทพธุรกิจ" 

นายชาญศิลป์ กล่าวว่า พลังงานฟอสซิล น้ำมัน ก๊าซ และถ่านหิน ที่โลกใช้มานานกว่า 100 ปี กำลังถูกทดแทนอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะถ่านหินที่ถูกมองว่าเป็นต้นตอของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูง ปัจจุบันทั่วโลกมีโรงไฟฟ้านิวเคลียร์เกือบ 400 โรง โดยจีนใช้นิวเคลียร์เพียง 5% แต่กำลังก่อสร้างเพิ่มอีก 29 โรง พลังงานลมพัฒนาเร็วมาก กังหัน 1 ต้นผลิตไฟได้ถึง 10 เมกะวัตต์ จากเทคโนโลยีรุ่นใหม่ พลังงานหมุนเวียนจึงกำลังเติบโตอย่างก้าวกระโดด ขณะที่ก๊าซธรรมชาติจะเป็น “พลังงานสะพาน” สำหรับ 20–30 ปีจากนี้ เพื่อพาประเทศต่าง ๆ ก้าวสู่ระบบพลังงานที่สะอาดยิ่งขึ้น

ทั้งนี้ แม้ประเทศไทยจะใช้พลังงานเพียงส่วนเล็กเมื่อเทียบกับโลก (น้ำมัน 0.9% และก๊าซ 1%) แต่ภายในประเทศยังพึ่งพาฟอสซิลสูงกว่า 90% โดยเฉพาะก๊าซธรรมชาติที่เป็นเชื้อเพลิงหลักผลิตไฟฟ้า และมีต้นทุนรวมกว่า 4,600 ล้านบาทต่อปี ขณะเดียวกันไทยยังต้องนำเข้า LNG มากขึ้น ทำให้โครงสร้างไฟฟ้าและต้นทุนพลังงานมีความเสี่ยงสูงต่อราคาโลก

'ชาญศิลป์' ชี้โลกเร่งทดแทนฟอสซิล แนะไทยปรับครั้งใหญ่ ใช้วิกฤติพลิกประเทศ

นายชาญศิลป์ กล่าวว่า บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ในฐานะองค์กรด้านความมั่นคงพลังงานกว่า 47-48 ปี ได้สร้างโครงสร้างพื้นฐานสำคัญของประเทศ ไม่ว่าจะเป็น ท่อส่งก๊าซธรรมชาติในทะเลกว่า 1,200 กม., ท่อส่งบนบกกว่า 4,000 กม., การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานก๊าซธรรมชาติและคลัง LNG, ธุรกิจใหม่ด้าน EV, แบตเตอรี่, พลังงานสะอาด และโซลูชัน Low Carbon

ซึ่งการพัฒนาเหล่านี้ช่วยลดการใช้น้ำมันเตาที่เคยก่อมลพิษสูง และทำให้ระบบผลิตไฟฟ้าของไทยมีเสถียรภาพระดับหนึ่ง แม้จะยังมีความท้าทายด้านต้นทุนและการเปลี่ยนผ่านพลังงานอยู่มาก

วิกฤติด้านพลังงานต้องถูกแปลงเป็น “โอกาสพลิกประเทศ” โดยยกตัวอย่างประเทศที่เปลี่ยนความขาดแคลนเป็นข้อได้เปรียบ เช่น สิงคโปร์ พลิกปัญหาขาดน้ำให้เป็นโอกาส พัฒนาเทคโนโลยีผลิตน้ำจืดจากน้ำทะเล ใช้ซ้ำได้กว่า 20% และตั้งเป้าขยายเป็น 50% ส่วนซาอุดีอาระเบีย เปลี่ยนทะเลทรายให้เป็นฐานผลิตโซลาร์ฟาร์มและไฮโดรเจนสีเขียวส่งออก ดังนั้น ไทยจึงควรมองหาโมเดลใหม่ที่เหมาะกับบริบทประเทศ เช่น

'ชาญศิลป์' ชี้โลกเร่งทดแทนฟอสซิล แนะไทยปรับครั้งใหญ่ ใช้วิกฤติพลิกประเทศ

การดัดแปลงโรงไฟฟ้าที่จะปลดระวางให้รองรับ “ไฮโดรเจนผสม” ลดการปล่อยคาร์บอน ลดค่าใช้จ่าย และต่ออายุระบบไฟฟ้าที่มีอยู่ พัฒนาพื้นที่เกษตร–ที่ดินรกร้าง ให้เป็นพื้นที่กักเก็บน้ำและสร้างคาร์บอนเครดิต เปิดทางเอกชนร่วมลงทุนเพื่อเพิ่มรายได้ให้เกษตรกร และเพิ่มศักยภาพคาร์บอนเครดิตของประเทศ

นายชาญศิลป์ กล่าวว่า วันนี้ความจริงที่ไม่อยากยอมรับ คือเราต้องทำแล้ว ภาคอุตสาหกรรม พลังงาน และภาคธุรกิจต้องเสนอและทำเลย ไม่ต้องรอรัฐอย่างเดียว นี่คือโอกาสที่ผู้นำต้องผลักให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ดังนั้น หากไทยไม่เริ่มเดินหน้าการเปลี่ยนผ่านพลังงานในวันนี้ อนาคตความสามารถแข่งขันของประเทศอาจถูกทิ้งห่างมากขึ้นทุกที