โลก 3 ขั้ว สหรัฐ-จีน-อียู ไทยจ่อทุนพุ่ง หากไม่เร่งคลีนเทค รับมือภาษีคาร์บอน

โลก 3 ขั้ว สหรัฐ-จีน-อียู ไทยจ่อทุนพุ่ง หากไม่เร่งคลีนเทค รับมือภาษีคาร์บอน

เศรษฐกิจโลกแบ่งเป็น 3 ขั้วหลัก ได้แก่ สหรัฐฯ (ผู้บริโภค), จีน (ผู้ผลิตและส่งออกคลีนเทค), และสหภาพยุโรป (ผู้ออกกฎ) ซึ่งความขัดแย้งนี้นำไปสู่การกีดกันทางการค้า

KEY

POINTS

  • เศรษฐกิจโลกแบ่งเป็น 3 ขั้วหลัก ได้แก่ สหรัฐฯ (ผู้บริโภค), จีน (ผู้ผลิตและส่งออกคลีนเทค), และสหภาพยุโรป (ผู้ออกกฎ) ซึ่งความขัดแย้งนี้นำไปสู่การกีดกันทางการค้า
  • ไทยเสี่ยงเผชิญต้นทุนทางการค้าที่สูงขึ้นจาก CBAM หากไม่เร่งปฏิรูปอุตสาหกรรมและปรับใช้เทคโนโลยีสะอาด
  • การกีดกันทางการค้าทำให้จีนย้ายฐานการผลิตสินค้าคลีนเทคมายังเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งเป็นโอกาสของไทยในการดึงดูดการลงทุน
  • ไทยมีศักยภาพสูงในการเป็นศูนย์กลางพลังงานหมุนเวียน โดยเฉพาะพลังงานแสงอาทิตย์

ในงานประชุม Generating a Cleaner Future Forum 2025 ปีที่ 3 ของ บริษัท บางกอกอินดัสเทรียลแก๊ส จำกัด หรือ บีไอจี (BIG) “บุรินทร์ อดุลวัฒนะ” กรรมการผู้จัดการ และ Chief Economist บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด ได้เปิดเผยถึงปัจจัยสำคัญที่จะส่งผลต่อการเปลี่ยนผ่านทางด้านพลังงานและอุตสาหกรรมของประเทศไทย ในบริบทของเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ ซึ่งโลกกำลังเผชิญกับความวุ่นวายทางภูมิรัฐศาสตร์และเป้าหมายด้านสภาพภูมิอากาศที่เริ่มไกลตัว ภายใต้การบรรยายพิเศษในหัวข้อ "Decoding the Global Economy 2026"

“บุรินทร์” กล่าวว่า หากมองจากมุมมองของนักเศรษฐศาสตร์ต่อการประชุม COP30 นั้นถือว่าค่อนข้างผิดหวัง เนื่องจากหลายเรื่องที่คุยกันไม่เกิดขึ้นจริง ปัจจุบัน นักวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่มองว่า เราไม่สามารถควบคุมอุณหภูมิโลกให้ต่ำกว่า 1.5 องศาเซลเซียส ภายในปี ค.ศ. 2100 ได้แล้ว

เมื่อเป้าหมายด้านการควบคุมอุณหภูมิเริ่มไกลตัว ทุกประเทศและทุกอุตสาหกรรมจึงต้องเตรียมพร้อมสำหรับการปรับตัวให้เข้ากับโลกที่ร้อนขึ้น นอกจากนี้ การที่เงินทุนและกลไกต่างๆ ที่ควรมาจากประเทศร่ำรวยเพื่อช่วยเหลือประเทศกำลังพัฒนาก็ยังไม่มา ทำให้ประเทศต่างๆ ไม่ยอมทำตามความทะเยอทะยานในการลดคาร์บอน

โลก 3 ขั้ว สหรัฐ-จีน-อียู ไทยจ่อทุนพุ่ง หากไม่เร่งคลีนเทค รับมือภาษีคาร์บอน

ภูมิรัฐศาสตร์การค้า การปะทะกันของอุดมการณ์

โลกกำลังวุ่นวายจากการแข่งขันทางภูมิรัฐศาสตร์ โดยเฉพาะระหว่างสหรัฐอเมริกา และจีน ซึ่งเป็น "Clash of Ideology" หรือการปะทะกันทางอุดมการณ์ที่แตกต่างกันอย่างมาก “บุรินทร์” อธิบายถึงการแบ่งขั้วเศรษฐกิจโลกเป็น 3 ส่วนหลัก (30-30-30) ดังนี้

  • สหรัฐอเมริกา– ขั้วผู้บริโภค 30%: สหรัฐฯ บริโภคสูงมาก คิดเป็น 30% ของการบริโภคภาคครัวเรือนทั่วโลก ชาวอเมริกันมีการใช้จ่ายสูงมาก แม้ว่าปัจจุบันหนี้บัตรเครดิตจะสูงถึง 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (1 trillion US dollars) ในด้านพลังงาน สหรัฐฯ เป็นผู้ผลิตน้ำมันและก๊าซฟอสซิลรายใหญ่ และส่งออกมาก ดังนั้น สหรัฐฯ จึงพยายามไม่ให้โลกสนใจเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศมากนัก เพราะจะกระทบต่อการส่งออกน้ำมันและก๊าซ
  • จีน (China) – ขั้วผู้ผลิต 30%: จีนเป็นผู้ผลิตสินค้าประมาณ 30% ของสินค้าทั้งหมดของโลก จีนกำลังเผชิญกับภาวะเงินฝืดนานกว่า 4 ปี เนื่องจากผู้ผลิตแข่งกันลดราคา จีนมีความมั่นคงทางพลังงาน (Energy Security) ต่ำมาก เพราะต้องนำเข้าน้ำมันถึง 60-70% ด้วยเหตุนี้ จีนจึงพยายามลดการใช้คาร์บอนและหันไปเพิ่มการใช้พลังงานหมุนเวียน ปัจจุบัน จีนกำลังใช้สินค้าที่เรียกว่า Clean Tech หรือ New Energy (เช่น รถ EV, แบตเตอรี่, โซลาร์พาเนล, กังหันลม) เป็นกลไกขับเคลื่อนเศรษฐกิจใหม่ และพยายามส่งออกสินค้าเหล่านี้อย่างหนัก
  • สหภาพยุโรป (EU) – ขั้วผู้ออกกฎ 30%: EU สู้ไม่ได้ในด้านการผลิตหรือการบริโภค จึงเลือกที่จะสร้างกฎหมายและกฎระเบียบต่างๆ กฎระเบียบเหล่านี้ (เช่น CBAM และมาตรฐานต่างๆ) ส่งผลกระทบต่อสินค้าประมาณ 30% ของการค้าโลก การออกกฎระเบียบของ EU มีเป้าหมายเพื่อป้องกันผลกระทบจากต่างชาติ และเพื่อปกป้องบริษัทในกลุ่มสหภาพยุโรปด้วย

“ความขัดแย้งเชิงอุดมการณ์ทำให้เกิดการกีดกันทางการค้า สหรัฐฯพยายามปิดกั้นไม่ให้รถยนต์จีนเข้ามาในประเทศ โดยไม่มีรถจีนปรากฏให้เห็นเลย การกีดกันนี้ทำให้ค่ายรถญี่ปุ่นและเยอรมันที่ยังขายได้ดีกลายเป็นผู้ได้ประโยชน์ จีนจึงต้องปรับตัวด้วยการย้ายฐานการผลิต โดยเฉพาะกลุ่มแบตเตอรี่และรถยนต์พลังงานใหม่ ไปยังประเทศอื่นๆ เช่น เยอรมนี, สเปน, ฮังการี, รวมถึงการย้ายมายังเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เช่น อินโดนีเซีย, ไทย, และเวียดนาม เนื่องจากมองว่านโยบายของสหรัฐฯ ไม่แน่นอน”

ภาษีคาร์บอน และปฏิรูปอุตสาหกรรม

“บุรินทร์” บอกว่า การค้าโลกต่อไปจะไม่เหมือนเดิม ปัจจุบันโลกมีกำแพงภาษีที่ไม่ได้มาในรูปแบบตรงๆ แต่มาในรูปของภาษีคาร์บอน (CBAM) หรือกฎหมายอื่นๆ สิ่งเหล่านี้คือต้นทุนที่ทำให้ความสามารถในการแข่งขันยากขึ้น หากทุกประเทศนำกฎคล้าย CBAM มาใช้ จะทำให้ประเทศไทยมีต้นทุนเพิ่มขึ้นถึงหลักหมื่นล้านบาท

"ประเทศไทยจำเป็นต้องให้ความสำคัญกับการปฏิรูปอุตสาหกรรม หากรอช้า อาจไม่ทันการณ์ เพราะต่างชาติได้เริ่มบังคับใช้มาตรการแล้ว"

โอกาสไทยเป็นฮับพลังงานหมุนเวียน

“บุรินทร์” กล่าวด้วยว่า ไทยมีโอกาสสำคัญในการดึงดูดการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) หากสามารถสร้างตัวเองให้เป็น Renewable Energy Hub ได้ ดังนี้

  • พลังงานแสงอาทิตย์: ประเทศไทยมีศักยภาพสูงมาก เนื่องจากมีแสงแดดเกิน 8 ชั่วโมงต่อวัน ถึงประมาณ 325 วันต่อปี อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันไทยใช้พลังงานหมุนเวียนประมาณ 10 กว่าเปอร์เซ็นต์ โดยเป็นพลังงานแสงอาทิตย์เพียง 5-6% ซึ่งถือว่าน้อยมาก เป้าหมายคือการเพิ่มสัดส่วนพลังงานแสงอาทิตย์ให้ได้ 20-25%
  • Data Center: ปัจจุบันศูนย์ข้อมูลจำนวนมากกำลังย้ายเข้ามาในประเทศไทย เนื่องจากข้อจำกัดด้านพลังงานในสิงคโปร์และมาเลเซีย หากรัฐบาลมีนโยบายที่เอื้อให้เกิด Solar Farm และสามารถขายตรงให้กับศูนย์ข้อมูลได้ รวมถึงการเพิ่มแบตเตอรี่เพื่อกักเก็บพลังงานสะอาดสำหรับการใช้งานตลอด 24 ชั่วโมง จะทำให้ประเทศไทยมีความได้เปรียบในการดึงดูด FDI

นอกเหนือจากการสร้างโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานสะอาดแล้ว รัฐบาลยังต้องเตรียมพร้อมในการ อัปเกรดระบบส่งไฟฟ้า เพื่อรองรับการเปลี่ยนผ่านของเทรนด์ที่ชัดเจนนี้. โดยสรุปแล้ว การขับเคลื่อนประเทศสู่สังคมคาร์บอนต่ำและพลังงานสะอาดต้องอาศัยการบูรณาการและความร่วมมือร่วมใจกันทั้งจากภาครัฐ ผู้กำหนดนโยบาย ภาคเอกชน และประชาชน เพื่อสร้างความเติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคต