ไทยเร่ง Net Zero 2050 ชู พ.ร.บ.ลดโลกร้อน ใช้กลไกการเงิน ปกป้องธุรกิจคาร์บอนต่ำ

ไทยปรับเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ให้เร็วขึ้นเป็นปี 2050 ผลักดัน "พ.ร.บ.ลดโลกร้อน" ให้เป็นเครื่องมือขับเคลื่อนประเทศสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ
KEY
POINTS
- ไทยปรับเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ให้เร็วขึ้นเป็นปี 2050
- ผลักดัน "พ.ร.บ.ลดโลกร้อน" ให้เป็นเครื่องมือขับเคลื่อนประเทศสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ
- พ.ร.บ. ฉบับใหม่จะใช้กลไกทางการเงินที่สำคัญ เช่น ระบบซื้อขายสิทธิในการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (ETS), ภาษีคาร์บอน, และกองทุนเพื่อสนับสนุนการเปลี่ยนผ่าน
- มีการเสนอใช้กลไกปรับสมดุลคาร์บอน (Thai CBAM) เพื่อปกป้องผู้ประกอบการในประเทศและสร้างการแข่งขันที่เป็นธรรมกับสินค้านำเข้าที่ไม่มีภาระต้นทุนด้านคาร์บอน
ในงานประชุม Generating a Cleaner Future Forum 2025 ปีที่ 3 ของ บริษัท บางกอกอินดัสเทรียลแก๊ส จำกัด หรือ บีไอจี (BIG) “ดร.กิตติศักดิ์ พฤกษ์กานนท์” ผู้อำนวยการกองยุทธศาสตร์และความร่วมมือระหว่างประเทศ กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม (DCCE) กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ขึ้นเวทีบรรยายในหัวข้อ Thailand Jumps Toward a Low-Carbon Economy โดยเปิดเผยถึงสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโลก พร้อมเน้นย้ำถึงความจำเป็นเร่งด่วนที่ประเทศไทยจะต้องปรับตัวเข้าสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ โดยระบุว่า มนุษยชาติมีเวลาในการทำงานด้านนี้ไม่มากนัก เนื่องจากรูปแบบของสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงไปกำลังนำมาซึ่งความรุนแรงและความรวดเร็วของภัยต่างๆ ที่เกิดขึ้น
แม้ว่าประเทศไทยจะเป็นประเทศที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกไม่มากนัก โดยมีสัดส่วนประมาณ 1% หรือ 0.7 กว่า และอยู่ในลำดับที่ 20 กว่าของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั่วโลก แต่ก็จำเป็นต้องรีบดำเนินการในส่วนของเราก่อน ควบคู่ไปกับการร่วมมือกับประชาคมโลกและระดับภูมิภาค
ทิศทางโลกเปลี่ยน ไม่มีที่ให้ธุรกิจแบบเดิม
"ดร.กิตติศักดิ์" ชี้ว่าทิศทางของโลกในปัจจุบันคือ ไม่สามารถย้อนกลับไปใช้วิธีคิด วิธีทำธุรกิจ หรือประกอบอาชีพแบบเดิมๆ ได้อีกต่อไป ในระดับสากล องค์กรต่างๆ กำลังก้าวไปสู่การเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น
สหภาพยุโรป (EU) กำลังมีมาตรการต่างๆ ที่เป็นที่ชัดเจน ส่วนสหรัฐอเมริกา แม้จะไม่ได้ส่งผู้แทนเข้าร่วมการประชุมระหว่างประเทศ แต่ก็ยังคงเดินหน้าสนับสนุนรูปแบบธุรกิจที่เป็นโลว์คาร์บอนในระดับมลรัฐ
ประเทศในภูมิภาคเอเชียก็มีการปรับตัวที่สำคัญ โดยจีนมองเห็นโอกาสในการทำธุรกิจจากทิศทางนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพื่อตอบสนองต่อการส่งออกไปยังยุโรป เกาหลีใต้มีการจัดตั้งกลไกการลงทุน การสนับสนุน และการจัดการเรื่องคาร์บอนเครดิตในตลาดของตน ญี่ปุ่นมีการลงทุนที่ชัดเจนในเรื่องของไฮโดรเจน. ที่น่าสนใจคือ สิงคโปร์ได้ปรับบทบาทจากเดิมที่เป็นศูนย์กลางของเชื้อเพลิงฟอสซิลและโรงกลั่น มาเป็นศูนย์กลางการซื้อขายคาร์บอนของโลก ซึ่งประเทศไทยเองก็ได้มีการทำบันทึกข้อตกลง (MOU) เพื่อร่วมมือในเรื่องนี้
ไทยเร่ง Net Zero 2050 เพื่อเศรษฐกิจอยู่รอด
ภายใต้การทำงานที่โลกเปลี่ยนไป ประเทศไทยก็จำเป็นต้องเปลี่ยนไปเช่นกัน แผนเดิมของไทยที่เคยกำหนด Net Zero ไว้ในปี 2065 (พ.ศ. 2608) ได้ถูกประกาศปรับให้เร็วขึ้นตามนโยบายรัฐบาลให้สำเร็จ ภายในปี 2050 (พ.ศ. 2593) การปรับเป้าหมายนี้เป็นสิ่งจำเป็นเนื่องจากโครงสร้างเศรษฐกิจของไทยพึ่งพาการส่งออกเป็นหลัก
"หากเราช้ากว่าคนอื่นในโลกถึง 15 ปี อาจไม่มีใครใช้สินค้าหรือบริการจากเรา ในปัจจุบัน ไทยได้มีการจัดส่งเอกสาร NDC (Nationally Determined Contribution) ฉบับ 3.0 ซึ่งเป็นแผนการทำงาน 10 ปีข้างหน้าไปจนถึงปี 2035 ตัวเลขพื้นฐานของ NDC 3.0 ได้วางแผนเพื่อไปสู่ Net Zero 2050 แล้ว แผนนี้ได้รับการชื่นชมจากนานาชาติถึงความพยายามในการทำงานร่วมกับคนบนโลก"
นอกจากนี้ การทำงานในโลกถัดไปจะไม่มีการลดก๊าซในลักษณะ BAU (Business As Usual) อีกแล้ว แต่จะเปลี่ยนเป็นการลดแบบ Absolute Emission Reduction ซึ่งหมายถึงต้องลดปริมาณการปล่อยก๊าซ (ปัจจุบันปล่อยอยู่ประมาณ 300 กว่าหน่วย) ลงทันที
ยุทธศาสตร์ชาติและเครื่องมือทางกฎหมาย
"ดร.กิตติศักดิ์" กล่าวด้วยว่า การทำงานระดับชาติเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศได้ถูกบรรจุไว้ในยุทธศาสตร์ชาติ และแผนระดับต่างๆ ตั้งแต่มีการใช้รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน แม้ว่ากรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อมจะมีอายุเพียง 2 ปี แต่เรื่องเหล่านี้มีการดำเนินการมาเกือบ 20 ปีแล้ว โดยมีสเกลที่ใหญ่และชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ
สิ่งสำคัญที่สุดที่จะทำให้การเปลี่ยนผ่านเกิดขึ้นได้คือ 'พรบ. ลดโลกร้อน' หรือ พระราชบัญญัติการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ที่จะใช้เป็นเครื่องมือในการบังคับและอำนวยความสะดวก ร่างกฎหมายที่กำลังจะเข้าสู่การพิจารณาเป็นลักษณะ Balance Package ซึ่งมีการบังคับให้ดำเนินการและมีการสนับสนุนให้ดำเนินการไปพร้อมกัน กฎหมายนี้จะช่วยในการติดตามประเมินผล และสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการลงทุน คาดการณ์ว่าการดำเนินการตามแผนตามตัวเลขและวิธีการต่างๆ จะแล้วเสร็จภายในปีงบประมาณ 2569
กลไกทางการเงินและการปกป้องผู้ประกอบการ
"ดร.กิตติศักดิ์" ได้เน้นย้ำถึงกลไกทางการเงินที่สำคัญภายใต้ พรบ. ลดโลกร้อน ดังนี้
- การจัดสรรสิทธิในการปล่อย (ETS - Emission Trading Scheme): จะมีการกำหนดโควต้าสิทธิในการปล่อยก๊าซ เพื่อให้ผู้ที่ลดก๊าซได้ยากสามารถซื้อขายสิทธิกันได้ในตลาดหลักทรัพย์ ผู้ที่ต้องถูกกำกับในโควต้านี้ส่วนใหญ่จะเป็นผู้ประกอบการที่ใช้พลังงานฟอสซิลสูง
- คาร์บอนเครดิต: จะเข้ามามีบทบาทในการใช้ชดเชยสำหรับผู้ที่ต้องเปลี่ยนผ่านในช่วงแรก
- กลไกปรับสมดุล (Thai CBAM): ประเทศไทยจำเป็นต้องมีกลไกปรับสมดุลคล้าย CBAM (Carbon Border Adjustment Mechanism) เพื่อปกป้องผู้ผลิตในประเทศ หากต่างชาติที่ไม่ได้มีการใช้กลไกราคาคาร์บอนมาก่อน เข้ามาดำเนินงานในไทย ก็จะต้องถูกเรียกเก็บค่าธรรมเนียม เพื่อให้เกิดการแข่งขันที่เป็นธรรมกับผู้ประกอบการในประเทศที่โดนเรียกเก็บผ่านระบบ ETS หรือ TAX ไปแล้ว
- ภาษีคาร์บอน: ปัจจุบันมีภาษีสิ่งแวดล้อม (ภาษีบาป) อยู่แล้ว. หาก พ.ร.บ. ออกมา จะมีการแบ่งภาษีคาร์บอนให้ชัดเจนขึ้น ในเบื้องต้นจะมีการเก็บกับน้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ และถ่านหิน โดยอาจมีการยกเว้นภาษีบางส่วนสำหรับเชื้อเพลิงที่ต้องการส่งเสริม เช่น ไฮโดรเจน เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนผ่าน
- กองทุน และ Taxonomy: รัฐจำเป็นต้องสร้างกองทุนและระบบ Taxonomy เพื่อสนับสนุนการดำเนินงาน โดยเฉพาะการให้สถาบันการเงินเข้ามามีส่วนร่วม เงินทุนที่ได้จาก ETS และกลไกอื่นๆ (ที่ไม่ใช่ส่วนของภาษีที่ต้องเข้าคลัง) จะนำไปใช้ในการลดก๊าซทั้งหมด
"ดร.กิตติศักดิ์" ระบุว่า แม้ว่าร่างกฎหมายดังกล่าวจะมีการเลื่อนการเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรี (ครม.) แต่ก็ยังคงอยู่ในไทม์ไลน์ที่คาดว่า ภายใน 1 ปี หากมีการจัดตั้งรัฐบาลและสภาใหม่ ก็จะสามารถดำเนินการฝ่ายนิติบัญญัติให้เสร็จสิ้นได้ทันที
การเปลี่ยนผ่านครั้งใหญ่นี้ถือเป็น โอกาส ที่จะช่วยให้ประเทศไทยก้าวสู่การทำธุรกิจที่มีลักษณะที่สร้างสรรค์มากขึ้น การที่ประเทศไทยต้องปรับเป้าหมายและใช้กลไกเหล่านี้ ก็เพื่อร่วมมือกับคนบนโลก และสร้างความมั่นใจว่าประเทศต่างๆ จะยังคงต้องการทำธุรกิจร่วมกับเราต่อไป







