‘ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ’ เพิ่มขึ้น จากโลกร้อน ที่ทำให้อุณหภูมิตอนกลางคืนสูงขึ้น

นักวิทยาศาสตร์ค้นพบว่า “การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ” อาจส่งผลให้เกิด “ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ” เพิ่มมากขึ้น
KEY
POINTS
- ภาวะโลกร้อนที่ทำให้อุณหภูมิในตอนกลางคืนสูงขึ้น เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ (OSA) เกิดขึ้นบ่อยและรุนแรงขึ้น
- งานวิจัยชี้ว่าอุณหภูมิที่สูงขึ้นเพิ่มโอกาสเกิดภาวะหยุดหายใจขณะหลับได้ถึง 45% และคาดการณ์ว่าจำนวนผู้ป่วยอาจเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าภายในปี 2100
- ภาวะหยุดหายใจขณะหลับที่ไม่ได้รับการรักษาจะเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคร้ายแรงต่างๆ เช่น โรคสมองเสื่อม โรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง และปัญหาสุขภาพจิต
- การเพิ่มขึ้นของภาวะนี้ส่งผลกระทบทางเศรษฐกิจอย่างรุนแรง โดยสร้างความเสียหายจากการสูญเสียผลิตภาพและการขาดงานมูลค่าหลายหมื่นล้านดอลลาร์
ในค่ำคืนที่อากาศร้อน มักจะส่งผลให้ผู้คนไม่สบายตัว นอนไม่หลับ แต่การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอาจส่งผลรุนแรงต่อการนอนหลับมากกว่านั้น เมื่องานวิจัยใหม่พบว่า อุณหภูมิที่เพิ่มสูงขึ้นทำให้ “ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ” เกิดบ่อยขึ้น
“การกรน” มักเป็นสัญญาณของ “ภาวะหยุดหายใจขณะหลับจากการอุดกั้น” (Obstructive Sleep Apnea) หรือ OSA เป็นภาวะที่ระบบทางเดินหายใจส่วนต้นตีบแคบลง ซึ่งอาจเกิดจากกายวิภาคของกล้ามเนื้อในช่องคอและลิ้นย่อนไปปิดทางเดินหายใจส่วนต้น โดยเฉพาะขณะหลับหรือการที่ช่องคอที่ลักษณะแคบ ทำให้อากาศและออกซิเจนไม่สามารถ เข้าสู่ปอดไปเลี้ยงร่างกายและสมองได้
OSA นับเป็นเป็นโรคเกี่ยวกับการหายใจที่เกี่ยวกับการนอนหลับที่พบบ่อยที่สุด แต่ผู้ป่วยจำนวนมากไม่ทราบว่าตนเองมีปัญหา
แม้การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ อาจจะฟังดูไม่น่าจะทำให้ภาวะหยุดหายใจขณะหลับรุนแรงขึ้นได้ แต่งานวิจัยใหม่ที่ตีพิมพ์ในวารสาร Nature Communications พบว่าอุณหภูมิที่อุ่นขึ้นทำให้ผู้เข้าร่วมการวิจัยมีโอกาสเกิดภาวะหยุดหายใจขณะหลับแบบอุดกั้น (OSA) สูงขึ้นถึง 45%
“โดยรวมแล้ว เราประหลาดใจกับความสัมพันธ์ระหว่างอุณหภูมิโดยรอบและความรุนแรงของภาวะ OSA” บาสเตียน เลอชาต์ หัวหน้าทีมวิจัยจากสถาบันวิจัยสุขภาพและการแพทย์ มหาวิทยาลัยฟลินเดอร์สกล่าว
นักวิจัยวิเคราะห์ข้อมูลการนอนหลับของผู้เข้าร่วม 116,620 คน จาก 29 ประเทศ เป็นระยะเวลา 3.5 ปี โดยใช้เครื่องตรวจวัด OSA ที่ได้รับการรับรองจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา เพื่อประเมินความเชื่อมโยงระหว่างอุณหภูมิโดยรอบในแต่ละวันกับภาวะ OSA ในแต่ละคืน
แดนนี่ เอคเคิร์ต ผู้ร่วมวิจัย กล่าวว่า “อัตราการวินิจฉัยและการรักษาที่สูงขึ้นจะช่วยให้เราจัดการและลดปัญหาสุขภาพและประสิทธิภาพการทำงานที่ไม่พึงประสงค์ที่เกิดจากภาวะ OSA ที่เกี่ยวข้องกับสภาพภูมิอากาศ”
ผู้ป่วย OSA อาจมีอาการเหนื่อยล้าและอารมณ์แปรปรวนบ่อยครั้ง ซึ่งเกิดจากการนอนหลับที่หยุดชะงักอย่างต่อเนื่องจากการหยุดหายใจที่ขัดขวางการนอนหลับลึกและฟื้นฟูร่างกาย หากไม่ได้รับการรักษาหรือรุนแรงขึ้น อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะสมองเสื่อม โรคพาร์กินสัน ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจและหลอดเลือด ความวิตกกังวล ภาวะซึมเศร้า และอาจถึงขั้นทำให้อายุสั้นลง
นอกจากนี้ การนอนหลับที่ไม่มีประสิทธิภาพยังทำให้สมองเสี่อมเร็วขึ้น สมองทำงานลดลง สุขภาพจิตแย่ลง เกิดการอักเสบ โรคหัวใจและหลอดเลือด และระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอลง
ขณะเดียวกัน อุณหภูมิที่ร้อนขึ้นจะทำให้นอนหลับได้น้อยลง นอนไม่เต็มอิ่ม และตื่นบ่อยขึ้น คุณภาพและระยะเวลาการนอนหลับโดยรวมแย่ลง ส่งผลเสียต่อสุขภาพกายและใจอย่างเห็นได้ชัด ในการศึกษานี้ นักวิจัยประเมินว่าการเพิ่มขึ้นของอัตราความชุกของภาวะ OSA ที่เกี่ยวข้องกับภาวะโลกร้อน ในปี 2023 จาก 29 ประเทศ ทำให้สูญเสียอายุขัยรวมทั้งหมด 788,198 ปี
ภาวะ OSA ส่งผลต่ออารมณ์และระดับพลังงาน ทำให้ประสิทธิภาพในการทำงานลดลงและขาดงานบ่อยขึ้น ถ้าหากความถี่และความรุนแรงของภาวะ OSA ยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง อาจส่งผลร้ายแรงต่อเศรษฐกิจโลก ในปี 2023 นักวิจัยพบว่าการเพิ่มขึ้นของภาวะ OSA นำไปสู่การขาดงานเพิ่มขึ้น 25 ล้านวันใน 29 ประเทศที่ศึกษา ซึ่งนำไปสู่ความเสียหายทางเศรษฐกิจมูลค่า 30,000 ล้านดอลลาร์จากการสูญเสียแรงงาน และอีก 68,000 ดอลลาร์จากการสูญเสียความเป็นอยู่ที่ดี
นักวิจัยเตือนว่าประชากรในการศึกษาน่าจะประเมินภาระด้านสุขภาพและเศรษฐกิจที่อาจเกิดขึ้นต่ำเกินไป เนื่องจากผู้เข้าร่วมวิจัยทุกคนมีอุปกรณ์ติดตามการนอนหลับและอาศัยอยู่ในประเทศที่พัฒนาแล้ว จึงสามารถเข้าถึงเครื่องมือบรรเทาความร้อน เช่น เครื่องปรับอากาศ ได้ง่ายกว่า ซึ่งอาจไม่สะท้อนข้อเท็จจริงว่ายังมีกลุ่มฐานะทางสังคมและเศรษฐกิจต่ำกว่า ที่ต้องทุกข์ทนทรมานจากความร้อนมากกว่า
ด้วยการคาดการณ์ว่าอุณหภูมิเฉลี่ยทั่วโลกจะเพิ่มขึ้น 2.1-3.4 องศาเซลเซียส และหากยังไม่มีการดำเนินการเชิงนโยบายที่เป็นรูปธรรมในการลดภาวะโลกร้อน มีแนวโน้มที่ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ (OSA) อาจเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าภายในปี 2100
ขณะที่งานวิจัยของ ดร.ลูเซีย พินิลลา จากมหาวิทยาลัยฟลินเดอร์สพบว่า ความเสี่ยงที่ผู้ป่วยโรคภาวะหยุดหายใจขณะหลับจากการอุดกั้นระดับปานกลางถึงรุนแรงเพิ่มขึ้น 13 % ในช่วงที่คลื่นความร้อนสูงสุด
ทุก ๆ องศาเซลเซียสที่เพิ่มขึ้นช่วงกลางคืน ความชุกของ OSA ระดับปานกลางถึงรุนแรงจะเพิ่มขึ้นประมาณ 1% และความเสี่ยงจะสูงขึ้นอีกเมื่อความชื้นสูงเช่นกัน
“ในช่วงคลื่นความร้อนฤดูร้อน ภาวะหยุดหายใจขณะหลับแบบอุดกั้นพบได้บ่อยและรุนแรงขึ้น ดังนั้นจึงควรพิจารณาภาวะหยุดหายใจขณะหลับแบบอุดกั้นควบคู่ไปกับโรคเรื้อรังอื่น ๆ ที่แย่ลงจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เพราะคลื่นความร้อนไม่เพียงแต่ทำให้รู้สึกไม่สบายตัวเท่านั้น แต่ยังสามารถส่งผลโดยตรงต่อการหายใจและการนอนหลับของเราอีกด้วย” ดร.พินิลลากล่าว
ดร.พินิลลากล่าวต่อว่า ผลกระทบเหล่านี้น่าจะคล้ายคลึงกันในส่วนอื่น ๆ ของโลก และอาจเด่นชัดยิ่งขึ้นในภูมิภาคที่มีสภาพอากาศร้อนกว่าหรือมีคลื่นความร้อนบ่อยกว่า ทั้งนี้ความรุนแรงของโรคอาจจะแตกต่างกันไปตามปัจจัยแวดล้อม เช่น คุณภาพที่อยู่อาศัยและการเข้าถึงเครื่องปรับอากาศ
ขณะนี้ ทีมวิจัยวางแผนที่จะศึกษาว่าอากาศร้อนในตอนกลางคืนส่งผลต่อการหายใจระหว่างการนอนหลับอย่างไร เหตุใด OSA จึงแย่ลง และกลยุทธ์ในการทำความเย็นหรือการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมสามารถช่วยลดผลกระทบดังกล่าวได้หรือไม่
ที่มา: Fortune, Independent







