"Just Transition" การเปลี่ยนผ่านสีเขียวที่ต้องไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง

“Just Transition” หรือ “การเปลี่ยนผ่านอย่างเป็นธรรม” กำลังกลายเป็นคำสำคัญในวงเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและการพัฒนาอย่างยั่งยืนทั่วโลก

ในเชิงแนวคิด Just Transition คือการทำให้เศรษฐกิจและระบบพลังงาน “สะอาดและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น” ด้วยวิธีที่ยุติธรรมและครอบคลุมให้มากที่สุด ทั้งต่อแรงงาน ชุมชนท้องถิ่น และกลุ่มสังคมที่เปราะบาง ไม่ใช่เพียงแค่ลดคาร์บอนลงได้ แต่ต้องลดผลกระทบจากนโยบายเหล่านั้นด้วย 

ยกตัวอย่าง เช่น การปิดโรงไฟฟ้าถ่านหินที่ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอาจเป็นผลดีต่อโลกในภาพรวม แต่ถ้าคนงานและชุมชนรอบโรงไฟฟ้าไม่มีงานใหม่ ไม่มีรายได้ และไม่มีส่วนร่วมในการตัดสินใจ นั่นย่อมไม่ใช่การเปลี่ยนผ่านที่เป็นธรรม

จุดเน้นของ Just Transition จึงไม่ได้อยู่ที่การหยุดใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลเพียงอย่างเดียว แต่อยู่ที่การออกแบบเส้นทางการเปลี่ยนผ่านให้เคารพสิทธิมนุษยชน ลดช่องว่างความเหลื่อมล้ำระหว่างคนรวย–คนจน ระหว่างประเทศพัฒนาแล้ว–กำลังพัฒนา และระหว่างคนรุ่นปัจจุบัน–รุ่นอนาคตด้วย

Just Transition ยังสัมพันธ์โดยตรงกับการเปลี่ยนผ่านเศรษฐกิจสู่ความยั่งยืน เพราะแนวคิดนี้ชี้ให้เราไม่มองเศรษฐกิจสีเขียวแค่ผ่านเลนส์ของตัวเลขคาร์บอน แต่ต้องตั้งคำถามถึงคุณภาพของการเติบโตไปพร้อมกันด้วย ในระดับโลก

แนวคิด Just Transition ถูกยกระดับขึ้นสู่วาระระหว่างประเทศ ทั้งในความตกลงปารีสและการเจรจาในเวที COP ต่าง ๆ หลักคิดร่วมที่ปรากฏคือ การจัดการกับความอยุติธรรม

ตั้งแต่การที่ประเทศร่ำรวยปล่อยก๊าซสะสมมากที่สุดในประวัติศาสตร์ แต่ประเทศยากจนกลับเจอผลกระทบหนักที่สุด ไปจนถึงการเยียวยาความเสียหายจากภัยพิบัติ

การประกันว่าคนหนุ่มสาวรุ่นต่อไปจะไม่ต้องแบกรับผลลัพธ์จากการตัดสินใจที่ผิดพลาดในวันนี้ รวมถึงการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจและระบบการเงินให้เอื้อต่อการลงทุนในโครงการที่เป็นธรรมทั้งด้านสังคมและสิ่งแวดล้อม ไม่ใช่เพียงโครงการที่ลดคาร์บอนได้อย่างเดียว

เมื่อหันกลับมาดูบริบทของประเทศไทย แนวคิดเรื่อง Just Transition เริ่มชัดเจนขึ้น โดยเฉพาะในภาคพลังงาน

งานศึกษาหลายชิ้น ชี้ให้เห็นว่าการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานอย่างเป็นธรรมของไทยควรมีอย่างน้อยสามมิติสำคัญ คือ การชดเชยอย่างเป็นธรรมต่อแรงงานและภาคธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับฟอสซิล การปฏิรูปธรรมาภิบาลและโครงสร้างตลาดพลังงานให้เปิดกว้างและเป็นธรรมต่อสาธารณะ และการส่งเสริมพลังงานหมุนเวียนที่รับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม

อย่างไรก็ตามร่างแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าฉบับล่าสุดกลับสะท้อนภาพตรงกันข้าม ไม่ว่าจะเป็น การเดินหน้าก๊าซธรรมชาติในสัดส่วนสูงต่อไป การพึ่งพาเขื่อนขนาดใหญ่ในลาว หรือการลดความสำคัญของระบบพลังงานแสงอาทิตย์แบบกระจายอำนาจที่ประชาชนมีส่วนร่วมได้จริง

หากประเทศไทยต้องการก้าวสู่การเปลี่ยนผ่านสีเขียวที่ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลังจริง ๆ การปรับแผนพลังงานและนโยบายด้านสภาพภูมิอากาศให้สอดคล้องกับหลักการ Just Transition เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้

นั่นหมายถึงการประกาศแผนเลิกใช้ฟอสซิลอย่างเป็นขั้นเป็นตอนควบคู่กับมาตรการรองรับอื่น ๆ ทั้งการชดเชย การฝึกอบรมทักษะใหม่ การปฏิรูปโครงสร้างตลาดพลังงานให้เปิดรับผู้ผลิตรายย่อยและชุมชนมากขึ้น

การผลักดันนโยบายและมาตรการจูงใจให้พลังงานแสงอาทิตย์และโครงการพลังงานหมุนเวียนระดับชุมชนเติบโต และการออกแบบเกณฑ์การเงินสีเขียวหรือ taxonomy ของไทยให้คำนึงถึงมิติด้านสิทธิมนุษยชนและความเป็นธรรมทางสังคมอย่างเป็นรูปธรรม เป็นต้น

ท้ายที่สุด Just Transition ไม่ใช่เพียงวาทกรรม แต่คือเงื่อนไขความชอบธรรมของการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ

หากการเดินหน้าเศรษฐกิจสีเขียวของไทยยังผูกพันอยู่กับกลุ่มทุนและระบบรวมศูนย์ ในขณะที่ประชาชนจำนวนมากต้องจ่ายค่าไฟแพง แบกรับผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม และไม่มีส่วนร่วมในกระบวนการตัดสินใจ 

เป็นไปได้ว่าความขัดแย้ง ความเหลื่อมล้ำ และการสูญเสียขีดความสามารถในการแข่งขันทางเศรษฐกิจจะยิ่งรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ

ในทางกลับกัน หากประเทศไทยเลือกใช้หลักการ Just Transition เป็นเข็มทิศในการออกแบบนโยบาย เราไม่เพียงเดินเข้าใกล้เป้าหมาย Net Zero มากขึ้น แต่ยังมีโอกาสสร้างเศรษฐกิจแบบใหม่ที่ยั่งยืน เป็นธรรม และมีภูมิคุ้มกันทางสังคมที่แข็งแรงกว่าเดิมอย่างแท้จริงอีกด้วย