พบ ‘ใยแมงมุม’ ใหญ่ที่สุดในโลกขนาด 106 ตร.ม. แมงมุมสองสายพันธุ์อาศัยรวมกันนับแสนตัว

ใยแมงมุมขนาดใหญ่ที่สุดในโลก กินพื้นที่ 106 ตร.ม. เป็นที่อยู่ของแมงมุมนับแสนตัว ถูกค้นพบในถ้ำแห่งหนึ่งบริเวณชายแดนแอลเบเนียและกรีซ
KEY
POINTS
- ค้นพบใยแมงมุมขนาดใหญ่ที่สุดในโลก กินพื้นที่ 106 ตารางเมตร ภายในถ้ำบริเวณพรมแดนประเทศแอลเบเนียและกรีซ
- ใยแมงมุมดังกล่าวเป็นที่อยู่อาศัยของแมงมุมสองสายพันธุ์ที่แตกต่างกัน รวมกันกว่า 110,000 ตัว
- การอยู่ร่วมกันของแมงมุมสองสายพันธุ์ถือเป็นปรากฏการณ์ที่หาได้ยาก เนื่องจากโดยปกติแมงมุมตัวใหญ่มักจะล่าแมงมุมตัวเล็กเป็นอาหาร
- นักวิจัยคาดว่าสาเหตุที่พวกมันอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุขมาจากแหล่งอาหารที่อุดมสมบูรณ์ การไม่มีผู้ล่า และสภาพแวดล้อมที่มืดมิดในถ้ำ
นักวิจัยค้นพบ"ใยแมงมุม"ขนาดยักษ์กินพื้นที่ราว 106 ตร.ม. ทอตัวหนาเป็นพรมตามผนังถ้ำที่ทอดตัวยาวกินพื้นที่ประเทศแอลเบเนียและกรีซ โดยเป็นที่อยู่อาศัยของแมงมุมประมาณ 110,000 ตัว ซึ่งมีด้วยกัน 2 ชนิด แบ่งออกเป็น 2 ชนิด คือ แมงมุมบ้าน (Tegenaria domestica) ประมาณ 69,000 ตัว และแมงมุมพริเนริโกเน วากัน (Prinerigone vagans) 42,000 ตัว
นับเป็นปรากฏการณ์หายากที่แมงมุมทั้งสองชนิดอาศัยอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข เพราะโดยทั่วไปแล้ว แมงมุมตัวใหญ่จะล่าแมงมุมตัวเล็กกว่า
“ฉันทำงานกับแมงมุมมา 18 ปีแล้ว และไม่เคยเห็นชุมชนแบบนี้มาก่อน” ดร.เบลรินา วเรโนซี นักชีววิทยา นักสัตววิทยา และนักนิเวศวิทยาจากมหาวิทยาลัยติรานาในแอลเบเนียกล่าวในการสัมภาษณ์
นอกจากแมงมุมแล้ว นักวิจัยยังพบว่าในถ้ำนี้มีสัตว์ชนิดอื่น ๆ อาศัยอยู่ด้วย ไม่ว่าจะเป็นตะขาบ ไอโซพอด แมงป่อง และด้วง โดยอาศัยอยู่ในเขตมืดถาวร ห่างจากปากถ้ำประมาณ 50 เมตร ซึ่งถูกกัดเซาะโดยแม่น้ำซารันดาโปโร จนเกิดเป็นหุบเขาวโรโมเนอร์ (ผู้เขียนงานวิจัยระบุว่าคำว่า “วโรโมเนอร์” ในภาษากรีกแปลว่า “น้ำเหม็น”)
งานวิจัยชี้ให้เห็นว่า คำตอบส่วนหนึ่งอาจมาจากแมลงวันตัวเล็กประมาณ 2.4 ล้านตัวที่บินวนเวียนอยู่รอบ ๆ รังแมงมุม ซึ่งมีปริมาณหนาแน่นผิดปรกติ ทำให้มีแหล่งอาหารปริมาณ และไม่มีนักล่าอาศัยอยู่ นักวิทยาศาสตร์ยังคาดการณ์ว่าการอยู่ร่วมกันอย่างเป็นมิตรนี้อาจเป็นผลมาจากความมืดที่ทำให้แมงมุมมองเห็นไม่ชัด
ใยแมงมุมใหญ่ที่สุดในโลกที่อยู่อาศัยแมงมุมนับแสนตัว
เครดิตภาพ: Marek Audy
ลีนา กรินสเตด นักชีววิทยาวิวัฒนาการ ผู้ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับการศึกษานี้ กล่าวว่ามีแนวโน้มว่าแมงมุมขนาดใหญ่จะมีวิวัฒนาการหรือเพียงแค่คุ้นเคยกับการตอบสนองต่อสัญญาณการสั่นสะเทือน เมื่อแมลงวันตัวเล็กเกาะบนใยไหมของมัน และอาจไม่โจมตีพวกมันด้วยวิธีอื่น
“โดยทั่วไปแล้ว แมงมุมไม่ค่อยเก่งเรื่องการมองเห็นอะไรนัก และนั่นรวมถึงแมงมุมสองสายพันธุ์นี้ด้วย" เธอกล่าว เธอเสริมว่าแมงมุมทั้งสองสายพันธุ์อาจจะร่วมมือกัน ทั้งในการสร้างใย ซึ่งอาจรวมถึง การจับเหยื่อ การดูแลไข่และลูกของกันและกันอีกด้วย
แม้ว่าแมงมุมหลายชนิดจะมักจะอยู่โดดเดี่ยว และก้าวร้าวมากต่อสัตว์อื่น ๆ แต่การอยู่ร่วมกันของสองสายพันธุ์นั้นค่อนข้างเกิดขึ้นได้ หากแมงมุมมีวิวัฒนาการความสามารถในการอยู่ร่วมกันเป็นกลุ่มแล้ว ดร.วเรโนซี กล่าวว่า แมงมุมที่อยู่ในถ้ำมีดีเอ็นเอที่แตกต่างจากสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่นอกถ้ำ บ่งชี้ว่าแมงมุมที่อาศัยอยู่ในเมืองแมงมุมได้ปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมเพื่อสร้างชุมชนแมงมุมขึ้นมา
“ดังนั้นมันจึงเป็นสิ่งมีชีวิตชนิดเดียวกัน แต่มีดีเอ็นเอที่ต่างกัน” ดร.วเรโนซีสรุป
เครดิตภาพ: Istvan Urak
อีกทั้งพวกมันวางไข่เพียงประมาณหนึ่งในสามของแมงมุมที่อาศัยอยู่กลางแจ้ง เพราะมั่นใจว่าพวกมันจะเลี้ยงลูกของมันได้ โดยไม่มีอะไรรบกวน จึงไม่จำเป็นต้องวางไข่มาก เพื่อเพิ่มอัตราการรอดชีวิต
ถ้ำแห่งถูกกัดเซาะด้วยกรดซัลฟิวริกที่เกิดจากการออกซิเดชันของไฮโดรเจนซัลไฟด์ในน้ำใต้ดิน จึงถูกเรียกว่า “ถ้ำซัลเฟอร์” สมาคมสำรวจถ้ำเช็ก ซึ่งนำโดย มาเร็ก ออดี นักสำรวจถ้ำชาวเช็ก ค้นพบถ้ำแห่งนี้ในปี 2021 และรายงานผลการค้นพบ จากนั้นทีมนักวิจัยที่เดินทางไปเยี่ยมชมถ้ำแห่งนี้หลายครั้งระหว่างปี 2023-2025
เมื่อส่องไฟเข้าไปในถ้ำ ใยแมงมุมสะท้อนแสงแวววาว เมื่อเพ่งมองใยแมงมุมที่แผ่ขยายไปทั่วผนังถ้ำ จะเห็นว่ามันเป็นใยแมงมุมรูปกรวยนับพันเส้นที่ประกอบกันเป็นก้อนกลม ๆ ซึ่งใยแมงมุมเหล่านี้มีแสงระยิบระยับจากการเต้นของใยแมงมุมที่ทออยู่บนพื้นผิว เราจึงมองเห็นพื้นผิวนี้เป็นจุด ๆ มากมาย ราวกับมีแสงไฟในใยแมงมุมขนาดมหึมา
“ใยแมงมุมมีความหนาแน่นสูง คล้ายผ้าห่ม และเมื่อมีอันตราย ตัวเมียจะคลานกลับไปซ่อนตัว และไม่มีสิ่งมีชีวิตชั้นสูงใดสามารถขุดใยแมงมุมออกมาได้” ออดีกล่าว
ขณะที่ดร.วเรโนซีกล่าวว่าใยแมงมุมนุ่มมากและเด้งตัวกลับหลังจากสัมผัส
ออดีเสริมว่าถ้ำแห่งนี้ ยังเป็นที่อยู่อาศัยของอาณานิคมค้างคาวขนาดใหญ่อีกด้วย และพวกมันเจริญเติบโตได้ดี เพราะมีแมลงขนาดเล็กจำนวนมากในพื้นที่ชื้นและมืด โดยอุณหภูมิภายในถ้ำที่ประมาณ 26 องศาเซลเซียสตลอดทั้งปี
สภาพแวดล้อมก็ได้รับการปกป้องอย่างดีเยี่ยมเช่นกัน ถ้ำแห่งนี้เข้าถึงได้ยากและเต็มไปด้วยก๊าซไฮโดรเจนซัลไฟด์ที่มีกลิ่นเหม็น ซึ่งมีความเข้มข้นสูงเกินกว่าที่สัตว์ส่วนใหญ่จะสามารถอาศัยอยู่ได้
“ในถ้ำมีแต่กลิ่นซัลเฟอร์ไฮโดรเจนเท่านั้น และคุณหายใจไม่ออก” ดร.วเรโนซีกล่าว โดยเล่าว่านักวิจัยส่วนใหญ่สวมหน้ากากอยู่ แต่เมื่อลึกลงไปในถ้ำ เธอกล่าวว่า “คุณจะชินกับกลิ่นไข่เน่า”
ทีมนักวิจัยไม่แน่ใจว่าเมืองแมงมุมนี้อยู่มานานแค่ไหนแล้ว แต่คาดว่ามันจะอยู่ไปได้เรื่อย เพราะไม่มีอะไรมารบกวน
“ใยแมงมุมมีหลายชั้น และบางส่วนอาจหลุดลงมาได้เพราะมันหนักเกินกว่าจะยึดติดกับผนังได้ แต่นี่เป็นวัฏจักรที่วนเวียนซ้ำแล้วซ้ำเล่า” เธอกล่าว
ดร.วเรโนซี กล่าวว่า จะยังคงมีการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างแมงมุมสองสายพันธุ์ต่อไป เนื่องจากปรกติแล้วแมงมุมทั้งสองสายพันธุ์นี้ไม่ใช่สายพันธุ์สังคม พวกมันเป็นสายพันธุ์ที่อยู่โดดเดี่ยว
ที่มา: CBS News, Euro News, The New York Times
แมงมุมและใยแมงมุมที่ใหญ่ที่สุดในโลก
เครดิตภาพ: Istvan Urak







