มาตรฐานสากล ISO คือคำตอบปิดช่องว่าง 'Net Zero' โลกเพื่อสิ่งแวดล้อม

เหลือเวลาไม่มาก ทั่วโลกยังห่างไกลเป้าหมาย Net Zero ภายในปี พ.ศ. 2593 อย่างอันตราย องค์กรนับหมื่นที่ให้คำมั่น มีเพียงไม่ถึง 7% ที่มีแผนงานที่น่าเชื่อถือ
KEY
POINTS
- องค์การระหว่างประเทศว่าด้วยการมาตรฐาน (ISO) กำลังพัฒนามาตรฐานสากลฉบับใหม่ (ISO 14060) เพื่อเป็นจุดอ้างอิงระดับโลกในการบรรลุเป้าหมาย Net Zero
- มาตรฐานนี้มีเป้าหมายเพื่อแก้ปัญหาช่องว่างระหว่างคำมั่นสัญญาและการปฏิบัติจริงขององค์กรต่างๆ ซึ่งปัจจุบันมีเพียงส่วนน้อยที่มีแผนงานที่น่าเชื่อถือ
- มาตรฐาน ISO จะช่วยสร้างความชัดเจน สอดคล้อง และความน่าเชื่อถือในการดำเนินการด้าน Net Zero เพื่อลดความสับสนและป้องกันการฟอกเขียว (Greenwashing)
- ISO เชิญชวนทุกภาคส่วนทั่วโลก รวมถึงประเทศไทยผ่านสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) ให้มีส่วนร่วมในการกำหนดมาตรฐานดังกล่าว
เหลือเวลาไม่มาก ทั่วโลกยังห่างไกลเป้าหมาย Net Zero ภายในปี พ.ศ. 2593 อย่างอันตราย องค์กรนับหมื่นที่ให้คำมั่น มีเพียงไม่ถึง 7% ที่มีแผนงานที่น่าเชื่อถือ องค์การระหว่างประเทศว่าด้วยการมาตรฐาน (ISO) กำลังพัฒนามาตรฐาน Net Zero ใหม่ (ISO 14060) หวังสร้างจุดอ้างอิงระดับโลก ดึงไทยเข้าร่วมขับเคลื่อนเพื่อความยั่งยืนของเศรษฐกิจโลก
ประเทศไทยกับความท้าทาย Net Zero
ขณะที่ทั่วโลกกำลังเผชิญกับความท้าทายในการบรรลุเป้าหมายปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ หรือ Net Zero ภายในปี พ.ศ. 2593 เพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบที่ร้ายแรงที่สุดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ประเทศไทยในฐานะหนึ่งในประเทศที่ได้รับผลกระทบ ได้มีการตั้งเป้าหมายและนโยบายที่สำคัญเพื่อรับมือกับวิกฤตนี้
รัฐบาลไทย ได้ประกาศเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ภายในปี พ.ศ. 2593 และบรรลุเป้าหมาย Net Zero ภายในปี พ.ศ. 2608 (ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 21 ก.ย. 2564 และปรับปรุงเมื่อวันที่ 8 พ.ย. 2565) โดยมี สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนแผนพลังงานและการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของประเทศ ภายใต้แผนยุทธศาสตร์ชาติและแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ช่องว่างระหว่างความมุ่งมั่นกับการลงมือทำที่อันตราย
รายงานล่าสุดยืนยันว่า โลกยังไม่สามารถบรรลุเป้าหมายที่จำเป็นเพื่อยับยั้งผลกระทบหายนะจากภาวะโลกร้อนได้ แม้ว่าองค์กรกว่า 10,000 แห่ง ทั่วโลกจะให้คำมั่น Net Zero แล้ว แต่มีเพียง ไม่ถึง 7% เท่านั้นที่มีกลยุทธ์ที่สามารถบรรลุเป้าหมายได้อย่างแท้จริง ช่องว่างระหว่างความมุ่งมั่นและการปฏิบัติ (Ambition and Action Gap) นี้กำลังเป็นภัยคุกคามต่อสุขภาพของมนุษย์ ระบบนิเวศ รวมถึงเสถียรภาพและผลกำไรของภาคธุรกิจและเศรษฐกิจโลก
ที่ผ่านมา การเปลี่ยนผ่านสู่ Net Zero ดำเนินการโดยความริเริ่มและกรอบการทำงานของภาคเอกชนและภาคสมัครใจเป็นหลัก เช่น Science Based Targets initiative (SBTi) และ Greenhouse Gas Protocol ซึ่งแม้จะช่วยสร้างบรรทัดฐานและแรงผลักดันได้มาก แต่ก็ทำให้เกิดความกระจัดกระจายของแนวทางปฏิบัติ องค์กรต่าง ๆ ต้องเผชิญกับชุดคำแนะนำ วิธีการ และความคาดหวังที่สับสน ซึ่งนำไปสู่ความลังเล ความไม่สอดคล้องกัน และอาจรวมถึงการ "ฟอกเขียว" (Greenwashing)
ISO ชู “มาตรฐานสากลที่ตรวจสอบได้” เพื่อรวมศูนย์ Net Zero
คำตอบหนึ่งของการปิดช่องว่างนี้ คือ มาตรฐานสากลที่ได้รับการรับรองและตรวจสอบได้ องค์การระหว่างประเทศว่าด้วยการมาตรฐาน (International Organization for Standardization: ISO) ซึ่งเป็นเครือข่ายระดับโลกของหน่วยงานมาตรฐานแห่งชาติกว่า 170 แห่ง ได้ก้าวเข้ามาเป็นผู้เล่นหลักในการสร้างจุดอ้างอิงระดับโลก
เปิดตัว "ISO Net Zero Guidelines" (COP27) ในการประชุมสมัชชาประเทศภาคีอนุสัญญาแห่งสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ครั้งที่ 27 (COP27) เมื่อปี พ.ศ. 2565 ISO ได้เปิดตัว "แนวทางปฏิบัติ Net Zero (Net Zero Guidelines)" ซึ่งเป็นผลจากการทำงานร่วมกับผู้เชี่ยวชาญกว่า 1,200 คน จากกว่า 100 ประเทศ ปัจจุบันมีการดาวน์โหลดไปแล้วหลายหมื่นครั้งทั่วโลก
กำลังพัฒนาสู่ "มาตรฐาน ISO 14060": ขณะนี้ ISO กำลังแปลงแนวทางปฏิบัติเหล่านี้ให้เป็น มาตรฐานสากล ISO สำหรับองค์กรในการบรรลุ Net Zero (ISO 14060)
มาตรฐานใหม่จะเปลี่ยนกระบวนการ Net Zero ได้อย่างไร
มาตรฐาน ISO Net Zero ใหม่นี้มีศักยภาพในการเปลี่ยนแปลงธรรมาภิบาลด้าน Net Zero อย่างสิ้นเชิง โดย
- สร้างความชัดเจน: ให้คำจำกัดความที่ชัดเจนว่า Net Zero ที่น่าเชื่อถือสำหรับองค์กรคืออะไร และอะไรคือแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุด
- สร้างความสอดคล้อง: ประสานวิธีการวัดผล การรายงาน และการตรวจสอบความคืบหน้าในทุกภาคส่วนและทุกประเทศ
- สร้างความน่าเชื่อถือ: เปิดโอกาสให้มีการตรวจสอบความเป็นอิสระของการดำเนินการ Net Zero ที่น่าเชื่อถือ ซึ่งจะช่วยยกระดับการดำเนินการ Net Zero ได้อย่างมีนัยสำคัญ
นอกจากนี้ การใช้มาตรฐานสากลที่เป็นที่ยอมรับนี้ จะช่วยให้รัฐบาลสามารถนำไปใช้ในการกำหนดนโยบายและกฎระเบียบต่าง ๆ เช่น การเปิดเผยข้อมูลภาคบังคับ ตามที่ระบุไว้ใน ข้อตกลงอุปสรรคทางเทคนิคต่อการค้า (TBT) ขององค์การการค้าโลก (WTO) ซึ่งจะช่วยอำนวยความสะดวกในการค้าระหว่างประเทศ และป้องกันอุปสรรคทางเทคนิคที่ซับซ้อนและมีค่าใช้จ่ายสูง
COP30 เวทีระดับโลกและคำเรียกร้องให้เข้าร่วม
การพัฒนามาตรฐาน ISO Net Zero ถือเป็นพัฒนาการที่สำคัญอย่างยิ่งในธรรมาภิบาลสภาพภูมิอากาศที่ยังไม่เป็นที่รับรู้อย่างกว้างขวางนัก ISO จะนำประเด็นนี้ขึ้นสู่เวทีระดับโลกในการประชุม COP30 ที่กำลังจะมาถึง เพื่อเน้นย้ำถึงบทบาทสำคัญของมาตรฐานสากลในการสร้างความเชื่อมั่นและการขับเคลื่อนการดำเนินการด้านสภาพภูมิอากาศที่น่าเชื่อถือ
ISO ได้เปิดกระบวนการนี้อย่างเปิดกว้างและครอบคลุมทั่วโลก และกำลังจะมี การปรึกษาหารือสาธารณะระดับโลก เกี่ยวกับร่างมาตรฐานนี้ ภาคส่วนต่าง ๆ จึงได้รับการสนับสนุนอย่างยิ่งให้เข้าร่วมกับ หน่วยงานมาตรฐานแห่งชาติ ของตน ในประเทศไทยคือ สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) เพื่อช่วยกำหนดมาตรฐานสากลนี้ยิ่งมีเสียงที่หลากหลายจากทุกภาคส่วน รวมถึง SMEs และสถาบันการศึกษาเข้าร่วมมากเท่าไหร่ มาตรฐานก็จะยิ่งแข็งแกร่งและส่งผลกระทบมากขึ้นเท่านั้น
ที่มา : International Organization for Standardization (ISO)







