สิทธิ-นวัตกรรม กุญแจสู่ 'เศรษฐกิจป่าไม้' ยุคใหม่ของความยั่งยืน

สิทธิ-นวัตกรรม  กุญแจสู่ 'เศรษฐกิจป่าไม้' ยุคใหม่ของความยั่งยืน

World Economic Forum ชี้ 4 เมกะเทรนด์ขับเคลื่อนป่าไม้โลกใน 30 ปีข้างหน้า เน้น "คน" และ "สิทธิชุมชน" เป็นแกนหลักของการอนุรักษ์และการพัฒนาเศรษฐกิจที่ยั่งยืน

KEY

POINTS

  • เศรษฐกิจป่าไม้ยุคใหม่ให้ความสำคัญกับสิทธิในการดำรงชีวิตที่ยั่งยืนของชุมชนที่พึ่งพาป่าไม้ ควบคู่ไปกับการจัดการทรัพยากรอย่างรับผิดชอบ
  • การรับรองสิทธิของชนพื้นเมืองและชุมชนท้องถิ่นเป็นหัวใจสำคัญ โดยการวางแผนการใช้ที่ดินแบบมีส่วนร่วมช่วยเสริมอำนาจให้ชุมชนสามารถตัดสินใจอนุรักษ์และจัดการป่าไม้ได้เอง
  • นวัตกรรมเชิงนโยบายและการปฏิบัติในระดับท้องถิ่น เช่น การออกกฎหมายให้ภาคเอกชนที่ลงทุนต้องฟื้นฟูป่า และการสร้างความร่วมมือหลายภาคส่วน เป็นกลไกขับเคลื่อนที่สำคัญสู่ความยั่งยืน

คณะมนตรีอนาคตโลกด้านเศรษฐกิจป่าไม้ (Global Future Council on Forest Economy) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการประชุมประจำปีของสภาอนาคตโลกของ World Economic Forum ณ เมืองดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ได้เน้นย้ำถึงความเร่งด่วนและความซับซ้อนของการจัดการป่าไม้ในศตวรรษที่ 21 เศรษฐกิจป่าไม้เป็นมากกว่าเรื่องไม้หรือคาร์บอน

แต่เป็นประเด็นที่เกี่ยวกับสิทธิในการดำรงชีวิตที่ยั่งยืนและความยืดหยุ่นของคนนับล้านที่พึ่งพาป่า การประชุมนี้เป็นเวทีสำคัญที่รวบรวมมุมมองจากภาครัฐ ภาคธุรกิจ ภาคประชาสังคม และชุมชนท้องถิ่น เพื่อให้มั่นใจว่ากลยุทธ์ต่างๆ จะมีความทะเยอทะยาน ครอบคลุม เป็นไปได้จริง และอิงกับประสบการณ์จริง

การค้นพบที่สำคัญจากการประชุมปี พ.ศ. 2568

1. การทำความเข้าใจเมกะเทรนด์

สภาฯ ได้ระบุเมกะเทรนด์หลายประการที่จะกำหนดทิศทางของเศรษฐกิจป่าไม้ในอีกสามทศวรรษข้างหน้า ซึ่งสอดคล้องกับการทำงานในภูมิทัศน์ป่าไม้ทั่วแอฟริกาตะวันตกและแอฟริกากลาง (เช่น กานา ไลบีเรีย และแคเมอรูน) ได้แก่

  • การจัดการป่าไม้อย่างยั่งยืนและการผลิตที่มีความรับผิดชอบ
  • การบรรเทาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศผ่านการอนุรักษ์และการฟื้นฟู
  • การพัฒนาเศรษฐกิจที่เชื่อมโยงกับการดำรงชีวิตที่อิงกับป่าไม้
  • การรับรองสิทธิของชนพื้นเมืองและชุมชนท้องถิ่น

2. เชื่อมโยงวิสัยทัศน์ระดับโลกกับการปฏิบัติในท้องถิ่น

โครงการริเริ่มสินค้าเกษตรที่ยั่งยืนแห่งแอฟริกา (Africa Sustainable Commodities Initiative - ASCI) ซึ่งมี 10 ประเทศในภูมิภาคทำงานร่วมกันเพื่อส่งเสริมการผลิตสินค้าโภคภัณฑ์ทางการเกษตรอย่างรับผิดชอบ

เช่น น้ำมันปาล์ม ยาง และเชีย ได้ขับเคลื่อนแนวทางที่เป็นนวัตกรรมใหม่ในการอนุรักษ์ การจัดการ และการฟื้นฟูป่าในพื้นที่การผลิต ความคืบหน้าสำคัญที่เห็นได้คือการปฏิรูปนโยบาย การจัดตั้งหน่วยงานภาครัฐใหม่ และการเสริมสร้างศักยภาพของสถาบัน เพื่อสร้างเงื่อนไขสำหรับความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนที่สนับสนุนทั้งการผลิตและการคุ้มครอง

3. นวัตกรรมภาคพื้นดิน

ตัวอย่างการดำเนินการจริงในพื้นที่ได้แสดงให้เห็นว่าเมกะเทรนด์เหล่านี้ถูกนำไปปฏิบัติได้อย่างไร

  • รัฐเอโดะ ประเทศไนจีเรีย: การปฏิรูปธรรมาภิบาลป่าไม้ได้นำไปสู่กฎหมายใหม่ที่กำหนดให้บริษัทที่ลงทุนในน้ำมันปาล์มต้องรวมการพัฒนาเกษตรกรรายย่อย ปกป้องพื้นที่ป่าในสัมปทาน และฟื้นฟูป่าที่เสื่อมโทรมเป็นสัดส่วน 10-25% ของพื้นที่ถือครอง ทำให้การลงทุนเชื่อมโยงโดยตรงกับการฟื้นฟู
  • ประเทศไลบีเรีย: การวางแผนการใช้ที่ดินแบบมีส่วนร่วมช่วยให้อำนาจแก่ชนพื้นเมืองและชุมชนท้องถิ่นในการยืนยันสิทธิของตน ชุมชนได้เลือกที่จะจัดสรรที่ดินเพื่อการอนุรักษ์และจะได้รับค่าตอบแทนเพื่อปกป้องป่าที่คงอยู่ ซึ่งเป็นการสร้างความรู้สึกเป็นเจ้าของ เคารพสิทธิ และส่งเสริมความยืดหยุ่น
  • ประเทศกานา: โครงการภูมิทัศน์ Asunafo-Asutifi ได้แสดงให้เห็นถึงพลังของการดำเนินการร่วมกันระหว่างชุมชน รัฐบาล และบริษัทจัดหาโกโก้ ภายใต้โครงการ REDD+ แห่งชาติ มีการจัดสรรเงินทุนสู่ชุมชนเพื่อสนับสนุนการฟื้นฟูและจัดการป่า ซึ่งเป็นการบูรณาการการบรรเทาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเข้ากับการคุ้มครองป่า

ชุมชนคือผู้ขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลง

กรณีศึกษาเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าเศรษฐกิจป่าไม้ไม่ได้เกี่ยวกับยุทธศาสตร์ระดับโลกเท่านั้น แต่ยังเกี่ยวกับแนวทางแก้ไขปัญหาเชิงปฏิบัติในท้องถิ่นที่ส่งผลกระทบต่อชีวิตและภูมิทัศน์โดยตรง

การเสริมสร้างศักยภาพของผู้คนให้สามารถตัดสินใจอย่างมีข้อมูลเพื่อกำหนดอนาคตของสิ่งแวดล้อมจึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุด เพราะการตัดสินใจของชุมชนในการอนุรักษ์ ฟื้นฟู หรือจัดการป่าไม้อย่างยั่งยืน คือสิ่งที่จะกำหนดว่าเป้าหมายระดับโลกจะกลายเป็นผลลัพธ์ที่จับต้องได้หรือไม่ อนาคตของป่าไม้ขึ้นอยู่กับการนำข้อผูกพันเหล่านี้ไปปฏิบัติในภูมิทัศน์ที่ป่าไม้และผู้คนอยู่ร่วมกัน

ที่มา : World Economic Forum