‘เศษพลาสติก’ เท่าน้ำตาลก้อนก็ฆ่าสัตว์ได้ ทิ่มแทง-ขวางลำไส้ อดอาหารจนตาย

เศษพลาสติกขนาดเท่าน้ำตาลก้อน ฆ่าสัตว์ในทะเลได้ เข้าไปทิ่มแทงอวัยวะ-ขวางลำไส้ กินอาหารไม่ได้ รอวันตายอย่างเดียว
KEY
POINTS
- เศษพลาสติกปริมาณเพียงเล็กน้อย แม้มีขนาดเท่าก้อนน้ำตาล ก็สามารถเป็นอันตรายถึงชีวิตต่อสัตว์ทะเลได้
- พลาสติกที่สัตว์กินเข้าไปสามารถฆ่าได้หลายวิธี ทั้งการทิ่มแทงอวัยวะภายใน การอุดตันลำไส้ หรือทำให้สัตว์อดอาหารตายเพราะรู้สึกอิ่มแต่ไม่ได้รับสารอาหาร
- งานวิจัยพบว่าพลาสติกต่างชนิดกันเป็นอันตรายต่อสัตว์แต่ละกลุ่มต่างกัน เช่น พลาสติกแข็งเป็นภัยต่อนกทะเล ส่วนพลาสติกอ่อนและอุปกรณ์ประมงเป็นภัยต่อสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมในทะเล
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา หากพูดถึงมลพิษจากพลาสติก ผู้คนมักจะมุ่งเป้าไปที่ไมโครพลาสติกเป็นหลัก แต่พลาสติกทั่วไปก็ยังเป็นอันตรายต่อสิ่งมีชีวิตในทะเลอย่างต่อเนื่อง นักวิทยาศาสตร์จากองค์กรอนุรักษ์มหาสมุทร (Ocean Conservancy) ทำการศึกษาปริมาณพลาสติกที่นกทะเล เต่าทะเล และสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมในทะเลที่สามารถฆ่าพวกมันได้ พบว่า พลาสติกปริมาณเพียงเล็กน้อยก็เพียงพอที่จะฆ่าสัตว์ทะเลได้หลายชนิด
นับเป็นการศึกษาที่ครอบคลุมที่สุดเท่าที่เคยมีมาเพื่อวัดปริมาณพลาสติกหลากหลายประเภท ตั้งแต่พลาสติกชนิดอ่อนและยืดหยุ่นได้ เช่น ถุงและห่ออาหาร ไปจนถึงพลาสติกแข็ง ตั้งแต่เศษพลาสติกไปจนถึงของชิ้นใหญ่ ๆ เช่น ขวดเครื่องดื่ม ล้วนเป็นสาเหตุของการตายของสิ่งมีชีวิตที่กินพลาสติกเข้าไป
“เรารู้มานานแล้วว่าสิ่งมีชีวิตในทะเลทุกขนาดและรูปร่างกำลังกินพลาสติก สิ่งที่เราอยากรู้คือ ต้องกินมากน้อยแค่ไหนถึงจะมากเกินไป” ดร. เอริน เมอร์ฟี ผู้จัดการฝ่ายวิจัยพลาสติกในมหาสมุทรของ Ocean Conservancy และหัวหน้าทีมวิจัยกล่าว
ปริมาณพลาสติกที่เป็นอันตรายต่อสัตว์แต่ละชนิดนั้นแตกต่างกันออกไปตามชนิดพันธุ์ ขนาดของสัตว์ และประเภทของพลาสติกที่มันกิน แต่โดยรวมแล้วปริมาณพลาสติกน้อยกว่าที่คิดมาก ซึ่งเป็นเรื่องที่น่ากังวล เพราะนักวิทยาศาสตร์ประเมินว่ามีพลาสติกมากกว่า 11 ล้านตันไหลลงสู่มหาสมุทรทุกปี โดยส่วนใหญ่เป็นขยะแบบใช้ครั้งเดียวทิ้ง นั่นหมายความว่าในแต่ละนาทีมีพลาสติกปริมาณมากกว่ารถบรรทุกขยะถูกปล่อยลงสู่มหาสมุทร
เต่าหัวค้อนมีโอกาสตายถึง 90% หลังจากกินพลาสติกปริมาณเท่ากับลูกเบสบอลเพียงสองลูก ขณะที่สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมในทะเล เช่น โลมาปากขวด สามารถตายได้หากกินพลาสติกปริมาณเท่ากับลูกฟุตบอล
ขณะที่ พลาสติกขนาดเล็กเท่าน้ำตาลหนึ่งก้อนทำให้นกพัฟฟินมีโอกาสตาย 50% เลยทีเดียว แต่ถ้าหากนกพัฟฟินกินพลาสติกเท่าน้ำตาลก้อน 3 ก้อนจะทำให้นกตายแน่นอน
สัตว์ในทะเลมักกินพลาสติกเข้าไปโดยไม่ได้ตั้งใจขณะหาอาหาร เช่น ถุงพลาสติกที่ลอยน้ำมีลักษณะคล้ายแมงกะพรุนที่เต่าทะเลชอบกิน
นักวิทยาศาสตร์วิเคราะห์ผลการชันสูตรศพสัตว์ที่ทราบสาเหตุการตายและปริมาณพลาสติกที่กินเข้าไปจำนวน 10,412 ครั้ง โดยแยกเป็นนกทะเล 57 ชนิด จำนวน 1,537 ตัว เต่าทะเล 1,306 ตัว กว่า 7 ชนิด และสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมในทะเลกว่า 31 ชนิดรวม 7,569 ตัว จากนั้นจึงศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างพลาสติกในลำไส้กับความน่าจะเป็นที่จะตาย โดยจำลองจำนวนชิ้นพลาสติกทั้งหมดและปริมาตร
ทีมนักวิจัยวิเคราะห์ประเภทของพลาสติก เพื่อดูว่ามีชนิดใดที่อันตรายต่อสัตว์ทะเลแต่ละกลุ่มมากกว่ากัน จนพบว่ายางและพลาสติกแข็งเป็นอันตรายถึงชีวิต โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับนกทะเล ขณะที่พลาสติกอ่อนและแข็งจะทำอันตรายต่อสัตว์ทะเล ส่วนสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมในทะเลจะได้รับอันตรายจากพลาสติกอ่อนและอุปกรณ์ตกปลา เช่น เชือกและอวน
ผลการชันสูตรพบว่า สัตว์จำนวนมากมีพลาสติกอยู่ในระบบย่อยอาหาร โดยเจอในเต่า 47% นกทะเล 35% และสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมในทะเล 12%
การศึกษาพบว่า สัตว์วัยอ่อนทุกชนิด ซึ่งมักจะไม่เจาะจงเหยื่อมากนัก มักจะกินพลาสติกมากกว่าสัตว์โตเต็มวัย และเกือบครึ่งหนึ่งของสัตว์ที่กินพลาสติกเข้าไปนั้นถูกจัดอยู่ในบัญชีแดงของ IUCN ว่าเป็นสัตว์ที่ถูกคุกคาม กล่าวคือ ใกล้สูญพันธุ์ ใกล้สูญพันธุ์ หรือใกล้สูญพันธุ์อย่างยิ่ง
ที่น่าสังเกตคือ การศึกษานี้วิเคราะห์เฉพาะผลกระทบของการกินพลาสติกขนาดใหญ่ (มากกว่า 5 มิลลิเมตร) ต่อสัตว์เหล่านี้เท่านั้น และไม่ได้คำนึงถึงผลกระทบและปฏิสัมพันธ์ของพลาสติกทั้งหมด ตัวอย่างเช่น การวิเคราะห์นี้ไม่ได้คำนึงถึงการพันกันของพลาสติก ซึ่งเป็นผลกระทบระดับไม่ถึงตายจากการกินเข้าไป ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพสัตว์โดยรวม และไมโครพลาสติกที่บริโภคเข้าไป
การกินพลาสติกเป็นอันตรายต่อสิ่งมีชีวิตในทะเลได้หลายทาง ชิ้นส่วนแข็ง ๆ สามารถเจาะหรือฉีกอวัยวะภายในของสัตว์และทำให้ตายได้ ขณะที่การสะสมของเศษพลาสติกหรือชิ้นส่วนขนาดใหญ่สามารถปิดกั้นอาหารได้ และต่อให้ไม่เกิดเหตุการณ์เหล่านี้ การกินพลาสติกมากเกินไปก็อาจทำให้สัตว์อดอาหารได้ เนื่องจากทำให้ลำไส้เต็มแต่ไม่ได้รับสารอาหาร
ที่ผ่านมา ไม่ค่อยมีการวิจัยเกี่ยวกับพลาสติกชิ้นใหญ่มากนัก ส่วนหนึ่งเป็นเพราะศึกษาได้ยาก การตรวจจับความเข้มข้นของไมโครพลาสติกในน้ำทะเลหรือเนื้อเยื่อสัตว์จะต้องทำในห้องปฏิบัติการ เช่นเดียวกับที่นักวิทยาศาสตร์ศึกษาสารปนเปื้อนอื่น ๆ
นักวิทยาศาสตร์กล่าวว่า เพื่อยุติวิกฤติพลาสติกในมหาสมุทร และป้องกันไม่ให้สัตว์ทะเลตายลงอีกจำนวนมาก รัฐบาลจำเป็นต้องดำเนินการเพื่อให้มั่นใจว่าการผลิตพลาสติกจะลดลง รวมถึงปรับปรุงการจัดเก็บและรีไซเคิลขยะ
“เรารู้สึกตื่นเต้นมากที่งานวิจัยใหม่นี้จะสามารถวัดผลกระทบของมลพิษพลาสติกต่อสัตว์ป่าได้ แม้ว่าจะยังไม่มีทางออกสำหรับปัญหานี้ แต่ในการต่อสู้เพื่อปกป้องสัตว์ทะเลของเรา ทุกนโยบายและทุกการกระทำของแต่ละบุคคลล้วนมีความสำคัญ” ดร. อันยา แบรนดอน ผู้อำนวยการฝ่ายนโยบายพลาสติกของ Ocean Conservancy กล่าว
รัฐบาลทั่วโลกกำลังพยายามหาวิธีจัดการกับมลพิษจากพลาสติก และกำลังหาข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ เพื่อใช้ประกอบการตัดสินใจเชิงนโยบาย ดร. เชลซี ร็อชแมน ผู้เขียนอาวุโสของการศึกษากล่าวว่า “งานวิจัยนี้เป็นรากฐานสำคัญสำหรับผู้มีอำนาจตัดสินใจในการทำความเข้าใจเกณฑ์ความเสี่ยงเพื่อปกป้องความหลากหลายทางชีวภาพให้ดียิ่งขึ้น”
ที่มา: Euro News, The Guardian, The New York Times







