‘อิหร่าน’ แล้งหนัก ชาวบ้านแห่สวดมนต์ขอฝน เชื่อพระเจ้าลงโทษ

“อิหร่าน” เจอวิกฤติภัยแล้งขาดน้ำหนัก ภาครัฐพยายามสร้างฝนเทียม ออกไอเดียย้ายเมืองหลวง ขณะที่ประชาชนต่างสวดภาวนาขอฝนกับพระเจ้า
KEY
POINTS
- อิหร่านเผชิญวิกฤตภัยแล้งรุนแรงทั่วประเทศ ทำให้ประชาชนต้องจัดพิธีสวดมนต์ขอฝน
- รัฐบาลพยายามแก้ไขปัญหาด้วยการทำปฏิบัติการฝนเทียมเพื่อกระตุ้นให้เกิดฝนตก
- วิกฤตการณ์น้ำเลวร้ายถึงขั้นมีข้อเสนอให้อพยพประชาชนและย้ายเมืองหลวงหากสถานการณ์ไม่ดีขึ้น
ภัยแล้งและวิกฤติขาดแคลนน้ำ ยังเป็นปัญหาหลักใน “อิหร่าน” แม้จะเข้าสู่หน้าฝนแล้วเกือบ 2 เดือน แต่ฝนกลับไม่ตกตามฤดูกาล กว่า 20 จังหวัดยังไม่มีฝนตกลงมาเลย มีเขื่อน 32 แห่งมีน้ำอยู่ต่ำกว่า 5% ของความจุเขื่อน ภัยแล้งขยายตัวจากที่ราบภาคกลางไปทั่วประเทศ
ประชาชนไม่มีน้ำใช้ในชีวิตประจำวัน ราคาน้ำดื่มบรรจุขวดพุ่งสูงขึ้น และมีการจำกัดการซื้อ ทำอะไรไม่ได้นอกจากสวดมนต์ขอฝน ขณะที่เจ้าหน้าที่เริ่มปฏิบัติการฝนหลวง ปล่อยสารเคมี เช่น ซิลเวอร์ไอโอไดด์และเกลือใส่เมฆ เพื่อกระตุ้นให้เกิดฝนตก
ในปี 2025 กรุงเตหะราน มีฝนตกเพียง 1 มิลลิเมตร ซึ่งถือเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวในรอบศตวรรษ อันที่จริงในช่วงครึ่งหลังของเดือนพฤศจิกายนจะเข้าสู่ช่วงที่หิมะตกแล้ว แต่ในตอนนี้ปริมาณหิมะกลับลดละ 98.6% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว และอุณหภูมิเฉลี่ยรายวันอยู่ที่ 20 องศาเซลเซียส
ทั่วทั้งอิหร่านจัดพิธีสวดภาวนาขอฝนขึ้นอย่างเป็นระบบ เพราะพวกเขาเคยขอฝนและสำเร็จมาแล้ว ซึ่งต้องย้อนไปในฤดูใบไม้ผลิปี 1944 เมื่ออิหร่านในช่วงสงครามประสบภัยแล้ง ชาวเมืองออกไปในทุ่งนาและสวดภาวนาขอฝนเป็นเวลาสามวัน ท่ามกลางสายตาเยาะเย้ยของชาวอังกฤษผู้ยึดครอง แต่หลังจากวันที่สามก็เกิดลมแรงจนฝูงชนแตกกระเจิง
แทนที่จะโทษวิกฤตสภาพภูมิอากาศ แต่บางคนกลับคิดว่าหายนะครั้งนี้เป็นสัญญาณที่พระเจ้าส่งมา เนื่องจากมนุษย์ทำชั่วกันมากมาย โดยอะยาตอลเลาะห์ โมห์เซน อารากี สมาชิกสภาผู้เชี่ยวชาญฝ่ายอนุรักษนิยมเตือนว่า “บางครั้งปัญหาทางวัฒนธรรม ความบกพร่องทางสังคม และบาปก็พรากโอกาสที่จะได้รับความเมตตาไป”
ประชาชนออกมาสวดภาวนาขอฝนจากพระเจ้า
เครดิตภาพ: Majid Asgaripour/WANA (West Asia News Agency) via REUTERS ATTENTION EDITORS
ส.ส. บางคนยังโทษรัฐบาลอิหร่านว่าเป็นต้นเหตุของภัยแล้ง เพราะไม่สามารถบังคับใช้กฎหมายใส่ฮิญาบที่เข้มงวดได้ บางคนถึงกับตั้งคำถามว่า “ทำไมประเทศที่ไม่เชื่อพระเจ้า เช่น ยุโรปที่ผู้หญิงสามารถปล่อยผมรับลมได้อย่างเสรีจึงมีฝนตกมากกว่า” ขณะที่บางคนก็พูดว่าประชาชนอาจจะขอพรอธิษฐานไม่ถูกต้อง
ก่อนหน้านี้ เกิดการปราบปรามนักเคลื่อนไหวด้านสิ่งแวดล้อม คาเวห์ มาดานี อดีตรองผู้อำนวยการสำนักงานคุ้มครองสิ่งแวดล้อมของอิหร่าน ถูกเจ้าหน้าที่ระดับสูงสั่งไม่ให้ใช้ถ้อยคำปลุกปั่น เช่น “ภาวะขาดแคลนน้ำ” จนเขารู้สึกถูกบังคับให้ออกจากประเทศ และปปัจจุบันเขาได้เป็นหัวหน้าสถาบันสิ่งแวดล้อมและสุขภาพทางน้ำ มหาวิทยาลัยสหประชาชาติในแคนาดา
มาดานียืนยันว่าตนเองไม่ใช่ทั้งผู้ทำนายหรือหมอดู แต่เขาก็ตระหนักดีว่าชาวอิหร่านทั่วไปต่างงุนงงกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับสภาพภูมิอากาศของพวกเขา
“เกิดคำถามมากมาย เช่น เมฆถูกขโมยไปจริงหรือ การเผาไหม้น้ำมันดีเซลทำให้ฝนไม่ตกหรือ? จริงหรือที่เราสามารถทำให้น้ำในอ่าวเปอร์เซียระเหยและขนส่งไปยังเทือกเขาซากรอสเพื่อให้ฝนตกได้?”
หลังจากการโจมตีของอิสราเอลในเดือนมิถุนายน ชาวอิหร่านต้องการทราบว่าพวกเขาจะทำอย่างไรเพื่อปกป้องเมืองหลวงจากภัยพิบัติครั้งที่สอง โมห์เซน อาร์ดาคานี ผู้อำนวยการบริษัทจัดการขยะและของเสียประจำจังหวัดเตหะราน กล่าวว่า ประชาชนได้ตอบรับคำร้องขอลดการใช้น้ำลง 10% ภายใน 7 เดือน แต่อาร์ดาคานีกล่าวว่าที่จริงจำเป็นจะต้องลดการใช้น้ำลง 20% ทั้งนี้รัฐยังยืนยันว่าจะไม่ใช้มาตรการตัดน้ำ แม้ว่าในตอนนี้แรงดันน้ำถูกจำกัดหลังเที่ยงคืนแล้วก็ตาม
เครดิตภาพ: Majid Asgaripour/WANA (West Asia News Agency) via REUTERS
ประธานาธิบดีอิหร่าน มาซูด เปเซชเคียน เตือนว่าวิกฤตการณ์ครั้งนี้ร้ายแรงมากจนอาจจำเป็นต้องอพยพประชาชนออกจากเมือง และย้ายเมืองหวลงใต้ใกล้กับอ่าวเปอร์เซีย หากภายในกลางเดือนธันวาคมสถานการณ์ยังไม่ดีขึ้น แม้จะฟังดูเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ แต่ข้อเสนอนี้ก็ไม่ได้ถูกปฏิเสธเสียทีเดียว
ดาริอุช มอคทารี นักวิชาการอาวุโสด้านการจัดการทรัพยากรน้ำ ยอมรับว่าอาจจะต้องอพยพประชาชนในหลายจุดออกจากเมืองหลวงจริง หากสถานการณ์ยังไม่ดีขึ้น
ขณะที่โมสตาฟา ฟาดาอี ฟาร์ด นักวิชาการด้านทรัพยากรน้ำอีกคนหนึ่ง กล่าวว่า “มีหมู่บ้านหรือค่ายพักแรมในเมืองใดบ้างที่พร้อมให้ที่พักอาศัยชั่วคราวหรือถาวรแก่ประชาชนมากกว่า 15 ล้านคนในอิหร่าน? หากเมืองและหมู่บ้านอื่น ๆ ของประเทศไม่ฝนตกภายในสิ้นเดือนธันวาคม ประชาชนทั้งประเทศควรอพยพหรือไม่?”
ฝนที่ตกน้อยลง ไม่ได้เป็นปัจจัยเดียวที่ทำให้อิหร่านขาดแคลนน้ำ การศึกษาแสดงให้เห็นว่าการบริหารจัดการที่ผิดพลาดมาหลายทศวรรษ รวมถึงการสร้างเขื่อนมากเกินไป การขุดเจาะบ่อน้ำอย่างผิดกฎหมาย และการเกษตรที่ไม่ยั่งยืน ล้วนเป็นปัจจัยที่ทำให้ปริมาณน้ำสำรองลดลง อีกทั้งการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและอุณหภูมิที่สูงขึ้นทำให้วิกฤตการณ์รุนแรงขึ้น
การสูบน้ำบาดาลที่มากเกินไปในกรุงเตหะรานทำให้พื้นดินทรุดตัวในอัตราที่น่าตกใจถึง 300 มิลลิเมตรต่อปี ซึ่งสูงกว่าระดับที่ถือว่าเป็นเกณฑ์สำคัญด้านเสถียรภาพและความปลอดภัยของโครงสร้างพื้นฐานถึง 60 เท่า
นิมา โชครี ผู้เชี่ยวชาญด้านน้ำและดินจากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีฮัมบูร์ก กล่าวว่าทางออกอยู่ที่การปรับปรุงวิธีการใช้น้ำในภาคเกษตรกรรมให้ทันสมัย และการประสานงานระหว่างหน่วยงานรัฐบาลที่ทำงานในวัตถุประสงค์ที่ขัดแย้งกัน
“หน่วยงานหนึ่งมีหน้าที่สร้างเขื่อน อีกหน่วยงานหนึ่งมุ่งขยายพื้นที่เพาะปลูก แต่หน่วยงานที่สามคือกลับเรียกร้องให้มีการควบคุม” โชครีกล่าว
โชครีแนะนำว่าปัญญาประดิษฐ์และเทคโนโลยีดาวเทียมความละเอียดสูงอาจช่วยให้อิหร่านพัฒนาการใช้น้ำที่ดีขึ้นได้ หากจะทำเช่นนั้นได้ จะต้องยุติการแยกตัวของนานาชาติเสียก่อน ซึ่งถือเป็นการเปลี่ยนแปลงที่แทบจะเป็นไปไม่ได้ ตราบใดที่อิหร่านยังคงอยู่ภายใต้การคว่ำบาตรโครงการนิวเคลียร์ของสหประชาชาติอีกครั้ง
ที่มา: BBC, The Guardian, The New York Times
เครดิตภาพ: Copernicus/Copernicus







