เกิดอะไรใน COP30 วันที่ 8 มหาอำนาจร่วมวง กองทุนป่าใหญ่สุด ให้ชุมชนเข้าถึงเงิน

ที่ประชุม COP30 เปิดตัวกองทุนเพื่อป่าไม้เขตร้อนที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ (TFFF) โดยเปลี่ยนรูปแบบจากการให้เงินช่วยเหลือเป็นการลงทุนระยะยาว
KEY
POINTS
- ที่ประชุม COP30 เปิดตัวกองทุนเพื่อป่าไม้เขตร้อนที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ (TFFF) โดยเปลี่ยนรูปแบบจากการให้เงินช่วยเหลือเป็นการลงทุนระยะยาว
- กองทุน TFFF มีกลไกสำคัญที่จัดสรรเงินทุนอย่างน้อย 20% เพื่อให้ชุมชนท้องถิ่นและชนพื้นเมืองสามารถเข้าถึงแหล่งเงินได้โดยตรง
- ประเทศมหาอำนาจและประเทศเจ้าของป่าไม้ เช่น สหราชอาณาจักร นอร์เวย์ จีน และโคลอมเบีย ได้เข้าร่วมประกาศมาตรการสนับสนุนกองทุนนี้
“กรุงเทพธุรกิจ” เกาะติดสถานการณ์การประชุม COP30 หลังจากภารกิจการประชุม ณ เมืองเบเล็ง ประเทศบราซิล ดำเนินต่อเนื่องมากกว่าหนึ่งสัปดาห์ การประชุมได้หยุดพักในวันอาทิตย์ที่ 16 พฤศจิกายน ก่อนกลับมาเริ่มต้นอีกครั้งในวันจันทร์ที่ 17 พฤศจิกายน
การประชุมในวันที่ 8 ของ COP30 สะท้อนให้เห็นถึง การเปลี่ยนผ่านครั้งสำคัญของโลกในการจัดการปัญหาสภาพภูมิอากาศ เมื่อธรรมชาติ ป่าไม้ มหาสมุทร และความหลากหลายทางชีวภาพ ถูกยกขึ้นมาเป็นหัวใจของการขับเคลื่อน พร้อมการผสานพลังจาก ชุมชนดั้งเดิม เด็กและเยาวชน ตลอดจนผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs)
ประเทศต่างๆ ไม่เพียงแสดงเจตนารมณ์ แต่เริ่มเดินหน้านำ กลไกใหม่ๆ สู่การปฏิบัติจริง เพื่อสร้างระบบเศรษฐกิจที่ตอบโจทย์การแก้ปัญหาโลกร้อนอย่าง ยั่งยืน ครอบคลุม และมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วน
กลไกการเงินป่าไม้ใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมี
หนึ่งในเหตุการณ์สำคัญที่สุดของวันคือการเริ่มดำเนินงานของ Tropical Forest Forever Facility (TFFF) กองทุนเพื่อป่าไม้เขตร้อนที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ เปลี่ยนวิธีคิดด้านการเงินสภาพภูมิอากาศจาก “เงินให้เปล่า” เป็น “การลงทุนระยะยาวแบบหุ้นส่วน” ระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และผู้ให้ทุนหลากหลายประเภท
TFFF ถือเป็นกลไกที่ส่งสัญญาณชัดเจนว่า “ป่ามีมูลค่ามากกว่าตอนที่ถูกตัด” โดยมีโครงสร้างที่เปิดโอกาสให้ชุมชนท้องถิ่นและชนพื้นเมืองสามารถเข้าถึงเงินโดยตรงผ่าน Dedicated Finance Allocation (TFFF-DFA) ซึ่งกำหนดว่าต้องกันเงินอย่างน้อย 20% สำหรับกลุ่ม IPLCs
ประเทศจากคองโก โคลอมเบีย กายอานา สหราชอาณาจักร นอร์เวย์ และจีน ได้เข้าร่วมประกาศมาตรการและกลไกเสริม เพื่อให้ TFFF เป็นจุดเชื่อมของความร่วมมือด้านป่าไม้ที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมี
การประชุมระดับรัฐมนตรี
ภายในเวทีระดับรัฐมนตรีด้านป่าไม้และชนพื้นเมือง ผู้นำรัฐบาล องค์กรพหุภาคี และผู้นำชนพื้นเมืองได้หารือถึงบทเรียนจาก Dedicated Grant Mechanism (DGM) โมเดลบริหารงานที่ได้รับการพิสูจน์ว่าช่วยให้ชุมชนมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์ป่าได้อย่างมีประสิทธิภาพ
การประชุมย้ำว่าโมเดล DGM สามารถถ่ายทอดไปยังยุคใหม่ของโครงสร้างการเงินสภาพภูมิอากาศ เช่น TFFF เพื่อสร้างแนวทางที่มีความโปร่งใส เคารพสิทธิ และสร้างขีดความสามารถให้ชุมชนเป็นศูนย์กลางของการอนุรักษ์ป่าในระยะยาว
Daniel Hanna จาก Barclays กล่าวถึง TFFF ว่า “เงินตั้งต้น 5 พันล้านดอลลาร์คือจุดเริ่มที่ยอดเยี่ยม มันสร้างความเชื่อมั่นและดึงผู้เล่นรายอื่นเข้ามา ซึ่งทำให้เราสามารถสร้างต่อได้ในอนาคต”
ก้าวสำคัญด้านสิทธิที่ดินของชนพื้นเมือง
วันเดียวกัน มีการประกาศความร่วมมือด้านสิทธิในที่ดิน 2 เรื่องใหญ่ ได้แก่
- Indigenous Peoples and Local Communities’ Land and Forest Tenure Pledge
- Intergovernmental Land Tenure Commitment – ข้อตกลงระหว่างรัฐบาลครั้งแรกของโลกที่มุ่งยอมรับและเสริมสิทธิในการถือครองที่ดินของชนพื้นเมืองและชุมชนท้องถิ่น
พัฒนาการสำคัญคือ ผู้บริจาคกว่า 30 รายสามารถบรรลุเป้าคำมั่น 1.7 พันล้านดอลลาร์ตั้งแต่ก่อนครบกำหนด 1 ปี พร้อมประกาศสนับสนุนเพิ่มเติมอีก 1.5–2 พันล้านดอลลาร์จนถึงปี 2030
ข้อตกลงระดับรัฐบาลซึ่งได้รับการรับรองโดย 14 ประเทศตั้งเป้าเสริมสิทธิในพื้นที่รวม 160 ล้านเฮกตาร์ โดยบราซิลให้คำมั่นครอบคลุมอย่างน้อย 59 ล้านเฮกตาร์
เปิดตัว Global BioChallenge
ต่อยอดจากการประชุม G20 บราซิลได้เปิดตัว Global BioChallenge เป้าหมายเพื่อระดมการลงทุนขนาดใหญ่สำหรับการเติบโตที่อิงธรรมชาติภายในปี 2028 และผลักดันให้หลักการ Bioeconomy 10 ข้อ (10 High-Level Principles) ถูกใช้งานจริงในระดับประเทศและตลาด
BioChallenge จะเร่งแก้ 4 ช่องว่างสำคัญ ได้แก่
- การขาดตัวชี้วัดและมาตรฐานสากล
- การเข้าถึงเงินทุนและการลดความเสี่ยง
- ตลาดไบโอเศรษฐกิจที่ยังอยู่ในระยะเริ่มต้น
- เครื่องมือเสริมพลังให้ชุมชนท้องถิ่น
เสริมระบบเตือนภัย–จัดการไฟ–พลังความรู้ชนพื้นเมือง
จากคำประกาศของผู้นำโลกที่ Belem Summit บราซิลร่วมกับ FAO เปิดตัว Global Fire Management Hub เพื่อประสานงานด้านการป้องกันไฟป่าในระดับโลก เป้าหมายครอบคลุม ดังนี้
- เสริมขีดความสามารถผู้ปฏิบัติงานกว่า 5,000 คน
- สนับสนุนผู้นำความรู้พื้นเมืองกว่า 10,000 คน
- ยกระดับระบบเตือนภัยและการประเมินความเสี่ยง
- ตั้งเป้าให้พื้นที่กว่า 10 ล้านเฮกตาร์ ได้รับการจัดการภูมิทัศน์ที่ทนไฟเพิ่มขึ้นภายในปี 2028
ความคืบหน้าอื่นๆ
- Adaptation Fund รับเงินสนับสนุนใหม่หลายสิบล้าน รัฐบาลหลายประเทศประกาศมอบเงินสนับสนุนชุดใหม่ให้กับ Adaptation Fund เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นของประเทศที่กำลังเผชิญผลกระทบจากโลกร้อนโดยตรง
- เปิดตัว “Scaling JREDD+ Coalition” ฟื้นฟูป่าในระดับมลรัฐ–จังหวัด–ประเทศ กลไกที่รวมรัฐบาล ชนพื้นเมือง นักลงทุน และองค์กรตลาดคาร์บอน เพื่อขยายการอนุรักษ์ป่าใน “ระดับเขตอำนาจ” ไม่ใช่แค่โครงการรายพื้นที่
- โครงการ JREDD+ สามารถสร้างรายได้ถึง 3–6 พันล้านดอลลาร์ต่อปีภายในปี 2030 และเป็นกลไกสำคัญในการปิดช่องว่างเงินทุนด้านป่าไม้ที่ยังขาดอยู่กว่า 66.8 พันล้านดอลลาร์ต่อปี
- โครงการ Earth Investment Engine ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการระดมทุนโซลูชันจากธรรมชาติของบราซิล สามารถระดมทุนได้มากกว่า 10 พันล้านดอลลาร์ เกือบสองเท่าจากเป้าหมายเดิม 5 พันล้านดอลลาร์ ภายในปี 2027 โมเดลนี้ถูกมองว่าเป็น “พิมพ์เขียว” สำหรับประเทศอื่นที่ต้องการขยายตลาดการเงินธรรมชาติ
- COP Action Agenda on Regenerative Landscapes (AARL) รายงานการลงทุนมากกว่า 9 พันล้านดอลลาร์ จากองค์กรกว่า 40 แห่ง ครอบคลุมพื้นที่กว่า 210 ล้านเฮกตาร์ และเกษตรกรกว่า 12 ล้านราย ในกว่า 110 ประเทศ
การลงทุนในปีนี้เพิ่มขึ้นถึง 4 เท่าเมื่อเทียบกับปี 2023 และเริ่มมีตัวอย่างความสำเร็จที่จับต้องได้ เช่น Landscape Accelerator ของบราซิล ซึ่งทำให้การฟื้นฟูป่าในเซร์ราโดและอเมซอนได้เป็นรูปธรรมและมีผลตอบแทนเชิงพาณิชย์
- รายงานใหม่เผยว่าแม้นโยบายและมาตรฐานใหม่ช่วยเริ่มลดแนวโน้มการปล่อยมีเทน แต่หากต้องการให้บรรลุ Global Methane Pledge ทุกประเทศจำเป็นต้องเร่งใช้มาตรการที่มีอยู่แล้วซึ่ง “ต้นทุนต่ำและผลลัพธ์ชัดเจน” ในภาคพลังงาน เกษตร และขยะ
- ทั้งใน Blue Zone และ Green Zone มีกิจกรรมเยาวชนหนาแน่นตลอดวัน ไฮไลต์คือเวที “From Listening to Action” ที่รวมเด็กและเยาวชนกว่า 30 คน พร้อมแถลง manifesto ของเยาวชนชนพื้นเมือง เรียกร้องการคุ้มครองทรัพยากรน้ำและระบบนิเวศ
ในเวทีระดับรัฐมนตรี เยาวชนเสนอวิธีรวมพลังคนรุ่นใหม่เข้ากับการดำเนินงานด้านสภาพภูมิอากาศในทุกระดับ
- ชนพื้นเมืองนำเสนอแผนปรับตัวของชุมชนเอง ใช้ความรู้ดั้งเดิมควบคู่การบริหารดินแดน
- ที่ Indigenous Pavilion ผู้นำชนพื้นเมืองบราซิลนำเสนอแผนการปรับตัวต่อโลกร้อนที่ออกแบบโดยชุมชนเอง ตัวอย่างเช่นโครงการในรัฐโฮไรมา ซึ่งผสานความรู้ดั้งเดิม การบริหารจัดการพื้นที่ และการมีส่วนร่วมของเยาวชนเพื่อสร้างความยืดหยุ่นต่อภัยภูมิอากาศอย่างแท้จริง
ที่มารูป: COP 30 Press Office (COP30 Brasil Amazônia)







