‘เหมืองทะเลลึก’ ปล่อยของเสียลงทะเล กระทบสัตว์น้ำขนาดเล็ก ทำลายห่วงโซ่อาหาร

นักวิทยาศาสตร์เตือนว่า มลพิษจากโครงการเหมืองทะเลลึกอาจทำให้สิ่งมีชีวิตในทะเลขนาดเล็กอดตาย ทำลายห่วงโซ่อาหาร และคุกคามการประมง
KEY
POINTS
- การทำเหมืองทะเลลึกจะปล่อยตะกอนและของเสียลงสู่ทะเล ซึ่งสัตว์น้ำขนาดเล็ก เช่น แพลงก์ตอนและลูกปลา จะกินเข้าไปเพราะเข้าใจผิดว่าเป็นอาหาร
- เมื่อสัตว์น้ำขนาดเล็กซึ่งเป็นฐานของระบบนิเวศได้รับผลกระทบจากการขาดสารอาหาร จะส่งผลให้ห่วงโซ่อาหารในทะเลพังทลายลง
- การทำลายห่วงโซ่อาหารส่งผลกระทบเป็นทอดๆ ต่อสัตว์ที่ใหญ่กว่า เช่น ปลาทูน่า นกทะเล และอาจสร้างความเสียหายต่อการประมงเชิงพาณิชย์ในที่สุด
“เหมืองทะเลลึก” เป็นการเจาะพื้นทะเลเพื่อหา ก้อนแร่โพลีเมทัลลิก (Polymetallic nodules) ซึ่งพบได้ที่ก้นสมุทรที่บรรจุแร่ธาตุสำคัญต่าง ๆ เช่น ทองแดง เหล็ก สังกะสี และอื่น ๆ เพื่อหวังจะนำมาใช้ในการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน ยานยนต์ไฟฟ้า เทคโนโลยีและการใช้งานทางทหาร แต่การทำเหมืองทะเลลึกอาจผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อสัตว์ทะเลขนาดเล็ก ที่สำคัญกับห่วงโซ่อาหาร และในที่สุดจะส่งผลกระทบต่อการประมง
นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยฮาวายศึกษาเขตทะเลกลางในมหาสมุทรแปซิฟิก ที่ระดับความลึกประมาณ 200-1,500 เมตร พบว่า แพลงก์ตอนสัตว์มากกว่าครึ่งหนึ่งและไมโครเนกตอน ซึ่งหมายถึงสิ่งมีชีวิตขนาดเล็ก เช่น ปลาขนาดเล็ก กุ้ง ปลาหมึก และสัตว์ว่ายน้ำอื่น ๆ ที่กินแพลงก์ตอนสัตว์เป็นอาหาร ประมาณ 60% จะสัมผัสกับสิ่งปฏิกูลจากการทำเหมือง
นั่นเป็นเพราะหลังจากที่บริษัทเหมืองแร่ขนก้อนแร่ขึ้นสู่ผิวน้ำแล้ว พวกเขาจะปล่อยน้ำทะเลส่วนเกิน สิ่งสกปรกใต้ท้องทะเล และตะกอนกลับลงสู่มหาสมุทรอีกครั้ง ซึ่งจะทำให้เกิดกลุ่มอนุภาคขุ่น ๆ ที่มีขนาดใกล้เคียงกับอนุภาคอาหาร ทำให้สัตว์ต่าง ๆ เข้าใจว่าเป็นอาหารและกินเข้าไป
หากสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กกินเศษซากเหล่านี้เข้าไป อาจจะทำให้พวกมันขาดสารอาหาร ซึ่งจะทำให้ห่วงโซ่อาหารทั้งระบบพังครืน เพราะสัตว์เหล่านี้เป็นแหล่งอาหารของห่วงโซ่อาหาร ซึ่งจะกระทบต่อนกทะเล และสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมในทะเลด้วย และท้ายที่สุดจะส่งผลกระทบต่อปลาที่มีความสำคัญทางการค้า เช่น ปลาอีโต้มอญ ปลาทูน่า
การประมงปลาทูน่าแปซิฟิกดำเนินการทั่วทั้งแหล่งแร่ใต้ทะเลในมหาสมุทรแปซิฟิกตะวันออก (Clarion-Clipperton Zone) ดังนั้นหากเหยื่อกลางน้ำลดลง เนื่องจากคุณภาพอาหารลดลง ปลาเติบโตช้าลง กระจายพันธุ์เปลี่ยนไป หรือมีน้อยลง ส่งผลกระทบต่อประเทศที่ทำประมง
เนื่องจากสัตว์กลางน้ำเชื่อมโยงระบบนิเวศเข้าด้วยกันตั้งแต่ผิวน้ำไปจนถึงก้นทะเล การเปลี่ยนแปลงสภาพของสัตว์จึงไม่สามารถควบคุมได้ง่าย
“เมื่อไม่มีสิ่งมีชีวิตในระดับความลึกนี้ ห่วงโซ่อาหารของพวกมันพังทลายลง สิ่งนี้จะส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อาหารในระดับที่สูงขึ้นและผลประโยชน์ทางการค้าอื่น ๆ มากขึ้น” ไมเคิล ดาวด์ หัวหน้าทีมวิจัยและนักศึกษาระดับปริญญาตรีสาขาสมุทรศาสตร์กล่าว
ในขณะที่งานวิจัยอื่น ๆ เน้นย้ำถึงผลกระทบเชิงลบต่อสิ่งแวดล้อมจากการเหมืองทะเลลึก แต่งานวิจัยส่วนใหญ่มักมุ่งเน้นไปที่พื้นทะเล การศึกษาครั้งนี้ดูที่บริเวณผืนน้ำ นักวิจัยกล่าวว่ายังต้องมีการทำงานเพิ่มเติมเพื่อประเมินคุณภาพและความลึกที่น้ำสกปรกและตะกอนจากการทำเหมืองในทะเลจะไหลกลับคืนสู่มหาสมุทรได้
ทั้งนี้พวกเขาบอกว่า การนำน้ำทะเลส่วนเกินกลับคืนสู่พื้นมหาสมุทรโดยตรงหรือในระดับความลึกอื่น ๆ อาจทำลายสิ่งแวดล้อมได้เช่นเดียวกับในเขตทะเลกลาง เพียงแต่อาจมีรูปแบบความเสียหายแตกต่างกันไป
ควันที่ถูกปลดปล่อยออกสู่อากาศมีลักษณะต่อเนื่องเป็นทางยาว หรือที่เรียกว่า “พลูม” ที่อยู่ในโซนทะเลกลางอาจทำให้คุณภาพอาหารของชุมชนที่เชื่อมต่อผิวน้ำกับท้องทะเลลึกลดลง ส่งผลให้การขนส่งคาร์บอนและห่วงโซ่อาหารอ่อนแอลง
ขณะที่ การปล่อยของเสียใกล้ผิวน้ำอาจส่งผลกระทบต่อตัวอ่อนและสิ่งมีชีวิตที่สังเคราะห์แสง รวมถึงแพร่กระจายไปตามกระแสน้ำได้ ส่วนการปล่อยน้ำส่วนเกินลงใกล้พื้นทะเลมากเกินไปอาจทำให้เกิดภาวะหายใจไม่ออก และน้ำเหล่านั้นอาจจะยังลอยขึ้นกลางน้ำได้ ขึ้นอยู่กับความหนาแน่นและความปั่นป่วน
ไบรอัน ป็อปป์ ผู้เขียนงานวิจัยอาวุโสกล่าวว่า การทำเหมืองทะเลลึกเป็นสิ่งที่ไม่จำเป็น และควรหาแหล่งโลหะทางเลือกอื่น ๆ แทน รวมถึงการรีไซเคิลแบตเตอรี่และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ หรือการคัดแยกของเสียและกากแร่จากการทำเหมือง
“หากมีเหมืองทะเลลึกเพียงแห่งเดียว อาจไม่ส่งผลกระทบต่อแหล่งประมงขนาดใหญ่ มันจะไม่ส่งผลกระทบต่อปริมาณน้ำมหาศาลด้วย แต่ถ้าหากมีหลายบริษัทหันมาทำเหมืองในหลายจุด ติดต่อกันหลายปี และผลิตแร่ออกมาจำนวนมาก เรื่องนี้จะแพร่กระจายไปทั่วภูมิภาค ซึ่งยิ่งมีการขุดมากขึ้น ปัญหาก็อาจเพิ่มมากขึ้นตามไปด้วย” ดาวด์กล่าว
การหยุดทำเหมืองใต้น้ำเพียงอย่างเดียวอาจไม่ได้แก้ปัญหามากนัก เพราะในตอนนี้หน่วยงานกำกับดูแลพื้นทะเลระหว่างประเทศ ซึ่งกำกับดูแลกิจกรรมแร่ที่อยู่นอกเหนือเขตอำนาจศาลของชาติ ได้อนุมัติสัญญาสำรวจหลายฉบับแล้ว ขณะที่ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์สนใจในการดำเนินการขุดใต้น้ำลึก หลังจากที่จีนจำกัดการส่งออกแร่หายากให้กับสหรัฐ เพื่อตอบโต้มาตรการภาษีนำเข้า
ในเดือนเมษายน 2025 ทรัมป์ได้ลงนามคำสั่งฝ่ายบริหารเพื่อสั่งให้สำนักงานบริหารบรรยากาศและมหาสมุทรแห่งชาติ เร่งกระบวนการขออนุญาตสำหรับบริษัทต่าง ๆ ที่จะขุดแร่ใต้ท้องมหาสมุทร และในเดือนพฤษภาคม ฝ่ายบริหารกล่าวว่าจะพิจารณาขายสัญญาเช่าเพื่อขุดแร่นอกเกาะอเมริกันซามัวในมหาสมุทรแปซิฟิกใต้ และเมื่อเดือนตุลาคม NOAA ได้ส่งร่างกฎเกณฑ์ไปยังทำเนียบขาวเพื่อปรับปรุงกระบวนการปฏิบัติงาน
กลุ่มอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมออกมาเรียกร้องให้ต่อต้านการทำเหมืองทะเลลึก โดยระบุว่าไม่เพียงแต่จะส่งผลเสียโดยตรงต่อสัตว์ป่าและส่วนต่าง ๆ ของท้องทะเลเท่านั้น แต่ยังส่งผลเสียต่อคาร์บอนไดออกไซด์ที่ทำให้โลกร้อนขึ้น ซึ่งปัจจุบันถูกกักเก็บไว้ในมหาสมุทรและพื้นมหาสมุทรอีกด้วย
“คำถามคือ มันคุ้มไหมที่เราจะแลกแร่ธาตุเพียงไม่กี่ชนิด กับการทำลายระบบของมหาสมุทร?” เชอริล เมอร์ด็อก นักวิจัยหลังปริญญาเอกด้านทะเลลึก มหาวิทยาลัยแอริโซนาสเตทกล่าว
การทำเหมืองทะเลลึกมาพร้อมกับความเสี่ยงที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ขณะนี้ องค์กรพื้นดินท้องทะเลระหว่างประเทศ กำลังถกเถียงกันเกี่ยวกับกฎเกณฑ์การทำเหมือง ซึ่งต้องพิจารณาไม่เพียงแค่ถิ่นที่อยู่อาศัยใต้ท้องทะเลเท่านั้น แต่ยังต้องพิจารณาถึงเขตพื้นที่สิ่งปฏิกูลจากการทำเหมืองจะปนเปื้อนได้ด้วย ตลอดจนการเลือกความลึกของการระบายน้ำจากการทำเหมือง การจำกัดความเข้มข้นของกลุ่มควันและพลูม และ การออกแบบกระบวนการใหม่เพื่อลดของเสียให้เหลือน้อยที่สุด
ที่มา: Earth, Euro News, Scitech Daily







