วุฒิสภาชะลอ พ.ร.บ.อากาศสะอาด ‘ธุรกิจใหญ่’ ฉุดกฎหมาย? คำถามจากภาคประชาชน

วุฒิสภาชะลอการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.อากาศสะอาดฯ ซึ่งเสี่ยงที่จะทำให้กฎหมายตกไปหากไม่แล้วเสร็จก่อนปิดสมัยประชุมในเดือนมกราคม 2569
KEY
POINTS
- วุฒิสภาชะลอการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.อากาศสะอาดฯ ซึ่งเสี่ยงที่จะทำให้กฎหมายตกไปหากไม่แล้วเสร็จก่อนปิดสมัยประชุมในเดือนมกราคม 2569
- ภาคประชาชนตั้งข้อสังเกตว่ากลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่ที่ปล่อยมลพิษสูงอาจอยู่เบื้องหลังการถ่วงเวลาการพิจารณากฎหมายเพื่อรักษาผลประโยชน์ของตนเอง
- มีการเรียกร้องให้วุฒิสภาเร่งผ่านกฎหมายเพื่อสุขภาพของคนไทยกว่า 65 ล้านคน และป้องกันผลกระทบต่อเศรษฐกิจจากปัญหามลพิษทางอากาศ
สถานการณ์อากาศสะอาดของคนไทยกำลังเผชิญอุปสรรค เมื่อร่างพระราชบัญญัติบริหารจัดการเพื่ออากาศสะอาด พ.ศ. หรือ “ร่าง พ.ร.บ.อากาศสะอาดฯ” ซึ่งเป็นกฎหมายที่ผ่านความเห็นชอบจากสภาผู้แทนราษฎรและผ่านวาระ 1 ในวุฒิสภา กำลังถูกคณะกรรมาธิการวิสามัญของวุฒิสภาชะลอการพิจารณา
หากร่างกฎหมายฉบับนี้ไม่ผ่านการพิจารณาให้เสร็จสิ้นก่อนการยุบสภาในเดือนมกราคม 2569 กฎหมายฉบับนี้จะตกไปโดยอัตโนมัติ และต้องเริ่มต้นกระบวนการใหม่ตั้งแต่ต้นในสภาผู้แทนราษฎรอีกครั้ง ซึ่งอาจทำให้คนไทยต้องรออีก 1-2 ปี กว่าจะได้มีกฎหมายอากาศสะอาดที่มีผลบังคับใช้จริงในประเทศ
เมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2568 เป็นวันแรกของการประชุมคณะกรรมาธิการวิสามัญวุฒิสภาเพื่อพิจารณาร่างกฎหมาย โดยเสียงส่วนใหญ่ของคณะกรรมาธิการเห็นชอบขยายเวลาการพิจารณาออกไปอีก 30 วัน เป็นไปจนถึงวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2569 ซึ่งจะไม่ทันก่อนการยุบสภาในวันที่ 31 มกราคม 2569
เดิมทีการพิจารณากำหนดไว้ 30 วัน ตั้งแต่วันที่ 24 ตุลาคม 2568 ถึง 3 มกราคม 2569 แต่ช่วงปิดสมัยประชุมระหว่างวันที่ 31 ตุลาคม – 11 ธันวาคม 2568 ไม่ถูกนับรวมในวันพิจารณา ทำให้ 30 วันแรกกินเวลาจริงถึงกว่า 2 เดือน
นอกจากนี้ การประชุมจัดเพียงสัปดาห์ละ 1 ครั้ง ซึ่งมีมาตราต่างๆ ในร่างกฎหมายค่อนข้างมาก ทำให้คาดว่าจะจบได้ยากภายในเวลาที่กำหนด
ฝุ่นพิษ PM2.5 ในกรุงเทพฯ
"รศ.ดร.วิษณุ อรรถวานิช" อาจารย์ประจำภาควิชาเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และโฆษกคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ. อากาศสะอาดฯ ออกมาเตือนว่า ฝุ่นพิษ PM2.5 ในกรุงเทพมหานครขณะนี้ได้พุ่งแตะระดับที่ไม่ปลอดภัยต่อสุขภาพ โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยง และแนวโน้มจะทวีความรุนแรงขึ้นต่อเนื่องในอนาคต
“เมื่อสอบถามถึงแหล่งกำเนิดของฝุ่น PM2.5 ในกรุงเทพฯ หลายคนอาจสงสัยว่าอาจมาจากรถยนต์ พื้นที่เกษตร ป่าไม้ โรงงานอุตสาหกรรม หรือแม้แต่ประเทศเพื่อนบ้าน แต่ข้อมูลดัชนีคุณภาพอากาศ (AQI) ของกรุงเทพฯ ในวันหยุดพักผ่อน เช่น วันอาทิตย์ กลับพบว่าปริมาณฝุ่นอยู่ในระดับที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพ ทั้งๆ ที่ในวันดังกล่าว เกษตรกรยังไม่ได้ทำการเผา พื้นที่ป่าก็ไม่มีการเผาไหม้ และเพื่อนบ้านก็ยังไม่ได้ปล่อยมลพิษจากการเผาเช่นกัน”
ข้อมูลจากกรมโรงงานอุตสาหกรรมในปี 2567 เผยว่า กรุงเทพมหานครมีโรงงานอุตสาหกรรมจำนวน 5,945 แห่ง ขณะที่ปริมณฑลประกอบด้วย นครปฐม 3,373 แห่ง, นนทบุรี 1,610 แห่ง, สมุทรปราการ 7,159 แห่ง, สมุทรสงคราม 228 แห่ง และสมุทรสาคร 6,732 แห่ง รวมทั้งกรุงเทพฯ และปริมณฑลมีโรงงานอุตสาหกรรมรวมถึง 25,047 แห่ง จากจำนวนโรงงานอุตสาหกรรมทั้งหมด 73,710 แห่งในประเทศ คิดเป็นร้อยละ 33.98 ซึ่งเป็นพื้นที่ขนาดเล็กเมื่อเทียบกับประเทศ แต่กลับมีโรงงานจำนวนมากและมีผลกระทบอย่างสูงต่อคุณภาพอากาศ
การที่คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) จะออกมาเบรกการผ่านร่าง พ.ร.บ.อากาศสะอาดฯ โดยชูประเด็นว่าเกษตรกรจะได้รับผลกระทบหนักจากกฎหมายนี้ แต่ "รศ.ดร.วิษณุ” ตั้งคำถามคือใครกันแน่ที่ได้รับผลกระทบตัวจริงจากมลพิษทางอากาศ?
"รศ.ดร.วิษณุ” ระบุว่า ขณะนี้มีกลุ่มธุรกิจรายใหญ่ที่ได้รับผลประโยชน์จากการปล่อยมลพิษในอากาศ กำลังใช้ทุกวิถีทางเพื่อขัดขวางไม่ให้ร่าง พ.ร.บ.อากาศสะอาดผ่านการพิจารณาในวุฒิสภาอย่างง่ายดาย พวกเขายื้อเวลาให้กระบวนการพิจารณาล่าช้าไม่ทันก่อนการยุบสภา เพื่อให้กฎหมายตกไปและต้องเริ่มนับหนึ่งใหม่ กลุ่มนี้หวังรักษาผลประโยชน์ของตน แม้ว่าจะส่งผลให้สุขภาพของคนไทยทุกคนแย่ลงในระยะยาว
ประโยชน์ของร่าง พ.ร.บ.อากาศสะอาด
"รศ.ดร.วิษณุ” กล่าวเพิ่มเติมว่า กฎหมายนี้จะช่วยปรับปรุงสุขภาพของคนไทยกว่า 65 ล้านคนให้ดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ พร้อมสร้างรายได้ให้กับประเทศจากธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง เช่น การท่องเที่ยว ธุรกิจเชิงสุขภาพ อาหาร และโรงแรม
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง จะดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติที่มีรายได้สูงให้เข้ามาเพิ่มขึ้นจากสภาพแวดล้อมที่ดีขึ้น รวมถึงช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของสินค้าไทยในตลาดโลก เนื่องจากผู้บริโภคและนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศให้ความสำคัญกับการผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอย่างมาก
แม้ว่าร่าง พ.ร.บ.อากาศสะอาดจะกระทบต่อผู้ก่อมลพิษทางอากาศบางราย แต่กลุ่มผู้ปล่อยมลพิษรายใหญ่มีจำนวนน้อยมาก ผู้ประกอบการเหล่านี้จำเป็นต้องปรับตัวเพื่อความยั่งยืนของธุรกิจในอนาคต โดยเร่งพัฒนาการผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ
กฎหมายฉบับนี้มีมาตรการและกลไกช่วยเหลือที่เป็นระบบ เพื่อสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านจากการผลิตที่สร้างมลพิษสูง ไปสู่การผลิตที่มีมลพิษต่ำและมุ่งสู่การมีอากาศสะอาดอย่างยั่งยืน
หากไม่ปรับตัว ในขณะที่คู่แข่งปรับเข้าสู่การผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม สินค้าของผู้ประกอบการที่ไม่ปรับตัวจะสูญเสียขีดความสามารถในการแข่งขัน และอาจต้องปิดกิจการในที่สุด
เรียกร้องสมาชิกวุฒิสภาเร่งพิจารณา
"รศ.ดร.วิษณุ” กล่าวด้วยว่า ในช่วงเวลาที่เหลือก่อนการยุบสภา ขอให้สมาชิกวุฒิสภาเร่งพิจารณาร่าง พ.ร.บ.อากาศสะอาดฯ เพื่อสุขภาพของคนไทยที่จะได้ดีขึ้นโดยไม่ต้องรออีก 1-2 ปี
ขอให้ทุกฝ่ายรวมพลังส่งเสียงสนับสนุนกฎหมายฉบับนี้ เพื่อป้องกันไม่ให้ภาคเอกชนส่วนน้อยที่ปล่อยมลพิษสูงขัดขวางการดำเนินการ โดยมีข้อเรียกร้องหลักมีดังนี้
- อย่าให้ภาคเอกชนที่ปล่อยมลพิษสูงมาก มาขัดขวางกฎหมายจนทำให้คนไทยกว่า 65 ล้านคนต้องเสี่ยงตายก่อนวัยอันควรและเจ็บป่วยจากอากาศสกปรก
- อย่าให้กลุ่มนี้มาขัดขวางการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจสู่ระบบการผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและมีมูลค่าเพิ่มสูง
- อย่าให้มาทำลายรายได้ภาคเศรษฐกิจอื่น เช่น การท่องเที่ยวและธุรกิจสุขภาพที่ได้รับประโยชน์จากอากาศสะอาด
- อย่าให้ขัดขวางการก้าวสู่การเป็นประเทศรายได้สูงในกลุ่ม OECD
- อย่าให้เสียงข้างน้อยของผู้ก่อมลพิษสูงมาทำลายระบอบประชาธิปไตยด้วยการเอาชนะเสียงส่วนใหญ่ที่สนับสนุนกฎหมายนี้มากกว่า 90%
ภาคประชาชน แม้จะมีสมาชิกในคณะกรรมาธิการเพียง 9 คน จากทั้งหมด 27 คน ยังคงมุ่งมั่นช่วยเร่งรัดกระบวนการพิจารณา และฝากความหวังถึงสมาชิกวุฒิสภาให้เร่งพิจารณาเพื่อให้ร่างกฎหมายนี้เสร็จทันก่อนการยุบสภา
เป้าหมายคือให้เด็กและคนไทยทุกคนได้หายใจอากาศสะอาด มีสุขภาพที่ดีขึ้นโดยไม่ต้องรออีก 1-2 ปี และไม่ต้องเสียชีวิตก่อนวัยอันควรเพราะมลพิษทางอากาศอีกต่อไป







