ไขปริศนาฝนตกหนัก 100 มม.กรุงเทพฯ รอดแล้ว มวลอากาศเย็นจีนไล่ 'ร่องมรสุม' ลงใต้

สถานการณ์ฝนตกหนักเกิน 100 มิลลิเมตร ที่ทำให้กรุงเทพมหานครและปริมณฑลเกิดน้ำท่วมขังรุนแรงในช่วงที่ผ่านมา ไม่ได้เกิดจากพายุหรือมรสุมกำลังแรง แต่เป็นปรากฏการณ์ "Localized Downpour" อันเป็นผลจากการปะทะกันอย่างรุนแรงของ
KEY
POINTS
- สาเหตุฝนตกหนักใน กทม. เกิดจากการปะทะกันรุนแรงของมวลอากาศ 3 กระแส (มวลอากาศเย็นจากจีน, มวลอากาศอุ่นชื้นจากอันดามัน, และลมตะวันออกจากอ่าวไทย) ไม่ใช่พายุ
- ปริมาณฝนที่ตกหนักเกิน 100 มม. สูงกว่าขีดความสามารถของระบบระบายน้ำ (60 มม./ชม.) จึงทำให้เกิดปัญหาน้ำท่วมขังรุนแรง
- สถานการณ์ใน กทม. คลี่คลายลงแล้ว เนื่องจากมวลอากาศเย็นจากจีนที่แรงขึ้นได้ผลักดันร่องมรสุมและแนวฝนให้เคลื่อนตัวลงสู่ภาคใต้
สถานการณ์ฝนตกหนัก เกิน 100 มิลลิเมตร ที่ทำให้กรุงเทพมหานครและปริมณฑลเกิดน้ำท่วมขังรุนแรงในช่วงที่ผ่านมา ไม่ได้เกิดจากพายุหรือมรสุมกำลังแรง แต่เป็นปรากฏการณ์ "Localized Downpour" อันเป็นผลจากการปะทะกันอย่างรุนแรงของ มวลอากาศเย็นจีน มวลอากาศอุ่นชื้นจากอันดามัน และลมตะวันออก
ที่หอบความชื้นจากอ่าวไทย การปะทะที่ "แรงมาก" นี้ ทำให้ฝนตกเกินขีดจำกัดของระบบระบายน้ำ (60 มม./ชม.) อย่างไรก็ตาม แนวโน้มที่ดีคือ มวลอากาศเย็นจากจีนกำลังทวีความรุนแรงขึ้น และได้ผลักดันแนวฝนให้เคลื่อนตัวลงสู่ภาคใต้แล้ว คาดสถานการณ์ฝนหนักใน กทม. จะสิ้นสุดลงในไม่ช้า
ฝนถล่ม กทม. ไม่ใช่พายุ แต่คือศึกปะทะสามทัพอากาศ
ชวลิต จันทรรัตน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ทีม คอนซัลติ้ง เอนจิเนียริ่ง แอนด์ แมเนจเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ ทีมกรุ๊ป ผู้เชี่ยวชาญด้านน้ำ ได้ให้สัมภาษณ์พิเศษกับ 'กรุงเทพธุรกิจ' ว่าการวิเคราะห์สถานการณ์ฝนตกหนักและน้ำท่วมขังในพื้นที่กรุงเทพมหานคร (กทม.) และปริมณฑล เปิดเผยสาเหตุที่ไม่ปกติ โดยระบุว่าปรากฏการณ์ดังกล่าวไม่ใช่ลักษณะของลมมรสุมหรือพายุที่ครอบคลุมพื้นที่เป็นวงกว้าง แต่เป็นผลมาจากการปะทะกันของมวลอากาศหลายกระแสที่แตกต่างกันอย่างรุนแรง
พื้นที่ กทม. และภาคกลางตอนล่าง การปะทะมีความซับซ้อนอย่างยิ่ง โดยมีตัวแปรถึง 3-4 ทิศทางที่เข้าชนกัน:
- มวลอากาศเย็น (ลิ่มความกดอากาศสูง) ที่แผ่ลงมาจากประเทศจีน
- มวลอากาศอุ่นชื้น ที่เคลื่อนที่มาจากทิศตะวันตก (ผ่านพม่า รับความชื้นจากทะเลอันดามัน)
- ลมตะวันออก ที่พัดมาจากทะเลจีนใต้
- ความชื้นจากอ่าวไทย ที่ถูกลมตะวันออกดึงพัดวกเข้ามาสมทบ
การปะทะกันของกระแสอากาศหลายทิศทางในเขตกรุงเทพมหานครและพื้นที่ชายทะเลนี้ "ปะทะแรงมากเลย" ส่งผลให้เกิด "ฝนตกหนักมากในลักษณะกระจุกตัวเป็นหย่อมๆ" หรือที่เรียกว่า Localized Downpour โดยมีปริมาณน้ำฝนสูงเกินกว่า 100 มิลลิเมตร ในบางพื้นที่
ปริมาณฝน "เกิน 60 มม." คือจุดวิกฤติที่ระบบระบายน้ำรับไม่ไหว
ปัญหาน้ำท่วมขัง ไม่ได้มาจากความล้มเหลวของระบบระบายน้ำโดยรวม แต่เป็นผลโดยตรงจากปริมาณน้ำฝนที่สูงเกินขีดความสามารถที่ออกแบบไว้ โดยมีการเน้นย้ำถึง "เกณฑ์วิกฤติ 60 มิลลิเมตรต่อชั่วโมง"
"ตกเกิน 60 มม. เนี่ย ตกตรงไหนก็ท่วมตรงนั้น"
คำกล่าวนี้สะท้อนว่า เมื่อปริมาณฝนทะลุเกณฑ์ 60 มิลลิเมตรต่อชั่วโมง ระบบระบายน้ำในจุดนั้นๆ จะไม่สามารถระบายออกได้ทันท่วงที ก่อให้เกิดน้ำท่วมขังเฉพาะจุด แม้แต่ในพื้นที่ที่มีการจัดการน้ำที่ดีก็ตาม และน้ำจากบริเวณที่ฝนตกหนักนี้จะไหลไปรวมในพื้นที่ต่ำกว่า ทำให้ปัญหาน้ำท่วมขยายวงออกไป
แนวโน้มดีขึ้น ร่องมรสุมถูก "ผลัก" พ้น กทม. มุ่งสู่เพชรบุรี
สำหรับแนวโน้มในอนาคต ถือเป็นข่าวดีสำหรับชาวกรุงเทพฯ เนื่องจากสถานการณ์ฝนตกหนักรุนแรงกำลังจะสิ้นสุดลง
- มวลอากาศเย็นจากจีนจะทวีความรุนแรงขึ้น และจะแผ่ลงมาอย่างต่อเนื่องในลักษณะเป็นระลอก
- มวลอากาศเย็นที่แรงขึ้นนี้จะทำหน้าที่ "ผลักดัน" ร่องมรสุม ซึ่งเป็นแนวที่ทำให้เกิดฝนตกหนัก ให้เคลื่อนตัวต่ำลงไปทางภาคใต้
- ร่องมรสุมได้เคลื่อนตัวลงไปอยู่ที่จังหวัดเพชรบุรีแล้ว ในช่วงเช้าของวันที่ให้ข้อมูล
คาดการณ์ว่าแนวฝนตกหนักจะเคลื่อนตัวตามร่องมรสุมลงไปที่จังหวัดเพชรบุรีและในทะเล ส่งผลให้ลักษณะฝนใน กทม. และภาคกลางจะลดความรุนแรงลงอย่างมีนัยสำคัญ และจะเปลี่ยนไปเป็นฝนตามฤดูกาลมรสุมปกติในภาคใต้ตอนบนแทน ไม่ใช่ฝนที่เกิดจากการปะทะรุนแรงซึ่งมีลักษณะเป็นลมกระโชกแรง ฟ้าผ่า ดังที่เกิดขึ้นในช่วงที่ผ่านมา







