IEA คาด โลกผลิตน้ำมันสูงสุดปี 2050 ดันโลกร้อนขึ้น 2.9 °C

IEA คาด โลกจะถึงจุดผลิตน้ำมันสูงสุดในปี 2050 จะทำให้โลกร้อนขึ้น 2.9 องศาเซลเซียส เนื่องจาก ความต้องการใช้ไฟฟ้าเพิ่มขึ้น จนพลังงานสะอาดโตไม่ทัน
KEY
POINTS
- หน่วยงานพลังงานระหว่างประเทศ (IEA) คาดการณ์ว่าหากไม่มีการบังคับใช้นโยบายพลังงานเพิ่มเติม การผลิตน้ำมันของโลกจะเพิ่มขึ้นต่อเนื่องและถึงจุดสูงสุดในปี 2050
- สถานการณ์ดังกล่าวจะส่งผลให้อุณหภูมิโลกสูงขึ้นถึง 2.9 องศาเซลเซียสภายในปี 2100 ซึ่งสูงกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้และจะก่อให้เกิดภาวะโลกร้อนที่รุนแรงขึ้น
- ความต้องการพลังงานที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องมีปัจจัยส่วนหนึ่งมาจากการเติบโตของศูนย์ข้อมูลและปัญญาประดิษฐ์ (AI)
- อย่างไรก็ตาม หากประเทศต่างๆ ดำเนินนโยบายด้านสภาพอากาศตามที่ประกาศไว้ การใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลอาจเริ่มลดลงภายในปี 2035 ซึ่งจะจำกัดการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิโลกไว้ที่ประมาณ 2.5 องศาเซลเซียส
เมื่อสองปีก่อน หน่วยงานพลังงานระหว่างประเทศ (IEA) เผยแพร่บทวิเคราะห์ที่ระบุว่าการใช้น้ำมัน ก๊าซ และถ่านหินของโลกอาจเริ่มลดลงภายในทศวรรษ 2030 อันเนื่องมาจากนโยบายด้านพลังงานที่รัฐบาลหลายประเทศกำลังดำเนินการอยู่ แนวโน้มที่ความต้องการเชื้อเพลิงฟอสซิลอาจถึงจุดสูงสุดในไม่ช้านี้ แต่รายงานฉบับใหม่ที่เพิ่งเผยแพร่เมื่อวันพุธ กลับระบุว่า “จุดผลิตน้ำมันสูงสุด” (Peak Oil) เลื่อนออกไปอีกที่ปี 2050
รายงาน World Energy Outlook 2025 ฉบับล่าสุดของ IEA เป็นรายงานที่ครอบคลุมเกี่ยวกับแนวโน้มพลังงานโลก สถานการณ์ของนโยบายที่ประกาศไว้ คาดว่าประเทศต่าง ๆ จะยังคงบังคับใช้นโยบายต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศต่อไป รวมถึงการนำแผงโซลาร์เซลล์ กังหันลม และรถยนต์ไฟฟ้ามาใช้อย่างรวดเร็ว อาจนำไปสู่การลดลงของการใช้น้ำมัน ก๊าซ และถ่านหินภายในปี 2035
ทั้งนี้ หน่วยงานยังได้จำลองสถานการณ์ในกรณีที่ฝ่ายการเมืองอนุรักษนิยมขึ้นมามีนำนาจ และไม่บังคับใช้นโยบายพลังงานเพิ่มเติมใด ๆ ทำให้อุปสรรคในการเปลี่ยนผ่านสู่รูปแบบพลังงานที่สะอาดกว่า ซึ่งจะทำให้ความต้องการน้ำมันและก๊าซธรรมชาติเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจนถึงปี 2050 นำไปสู่ภาวะโลกร้อนที่รุนแรงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
รายงานยังระบุอีกว่า ภายใต้สถานการณ์นโยบายปัจจุบัน ความต้องการน้ำมันจะพุ่งสูงถึง 113 ล้านบาร์เรลต่อวันภายในกลางศตวรรษนี้ ซึ่งเพิ่มขึ้นประมาณ 13% จากการบริโภคในปี 2024 ขณะที่การตัดสินใจลงทุนขั้นสุดท้ายสำหรับโครงการก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) ใหม่เพิ่มขึ้นอย่างมากในปี 2025 การดำเนินการสำหรับกำลังการผลิตส่งออก LNG ใหม่ต่อปีประมาณ 300,000 ล้านลูกบาศก์เมตรจะเริ่มต้นภายในปี 2030 ซึ่งหมายถึงปริมาณอุปทานที่เพิ่มขึ้น 50%
จากสถานการณ์นโยบายปัจจุบัน ตลาด LNG ทั่วโลกเพิ่มขึ้นจากประมาณ 560,000 ล้านลูกบาศก์เมตรในปี 2024 เป็น 880,000 ล้านลูกบาศก์เมตรในปี 2035 และเป็น 1.02 ล้านล้านลูกบาศก์เมตรในปี 2050 ซึ่งเป็นผลมาจากความต้องการพลังงานที่เพิ่มขึ้น ซึ่งขับเคลื่อนโดยการเติบโตของศูนย์ข้อมูลและปัญญาประดิษฐ์
การใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลในอนาคตจะมีผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศภายใต้สถานการณ์นโยบายที่ระบุไว้ คาดว่าอุณหภูมิโลกจะสูงขึ้นประมาณ 2.5 องศาเซลเซียสภายในศตวรรษนี้ เมื่อเทียบกับยุคก่อนอุตสาหกรรม แต่ภายใต้สถานการณ์นโยบายปัจจุบันที่ความต้องการน้ำมันและก๊าซธรรมชาติยังคงเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็นเวลาหลายทศวรรษ ภาวะโลกร้อนจะสูงถึง 2.9 องศาเซลเซียสภายในปี 2100 และจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
แม้ว่าความแตกต่างนี้อาจดูเล็กน้อย แต่นักวิทยาศาสตร์พบว่าภาวะโลกร้อนที่เพิ่มขึ้นอีกครึ่งองศานำมาซึ่งความเสี่ยงที่มากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจากคลื่นความร้อน น้ำท่วม ภัยแล้ง และการสูญพันธุ์ของสิ่งมีชีวิต (โลกมีอุณหภูมิเพิ่มขึ้นแล้วประมาณ 1.3 องศาเซลเซียสนับตั้งแต่ยุคก่อนอุตสาหกรรม)
อย่างไรก็ตาม ผู้เขียนรายงานระบุว่าไม่ควรนำสถานการณ์ทั้งสองนี้มาใช้เป็นการคาดการณ์อนาคตที่ชัดเจนที่สุด แต่จะช่วยให้นักการเมืองสามารถเห็นผลกระทบจากการเลือกนโยบายที่แตกต่างกัน
“ไม่สามารถมีมุมมองเดียวหรือมุมมองที่เรียบง่ายเกี่ยวกับแนวโน้มพลังงานโลกได้” ผู้เขียนรายงานระบุ
รายงานของ IEA มีอิทธิพลอย่างมาก เพราะรัฐบาลและนักลงทุนมักนำไปอ้างอิงเป็นข้อมูลสำหรับการวางแผนระยะยาว แต่ขณะเดียวกันการคาดการณ์ของ IEA ก็ตกอยู่ภายใต้การตรวจสอบทางการเมืองอย่างหนักในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากอุตสาหกรรมน้ำมันและก๊าซ
คริส ไรท์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานของโดนัลด์ ทรัมป์และอดีตผู้บริหารฝ่ายขุดเจาะแบบแฟรกกิ้ง ระบุว่ารายงานฉบับนี้เป็น “เรื่องไร้สาระ” พรรครีพับลิกันในสภาคองเกรสขู่ว่ารัฐบาลกลางสหรัฐจะตัดเงินทุนสนับสนุนของ IEA หากองค์กรไม่เปลี่ยนแปลงวิธีการดำเนินงาน โดยปัจจุบันสหรัฐให้งบประมาณประมาณ 14% ของทั้งหมดที่ IEA ได้รับ
ขณะที่ OPEC กลุ่มประเทศผู้ผลิตน้ำมัน เตือนว่าการคาดการณ์ล่วงหน้าว่าการใช้น้ำมันและก๊าซธรรมชาติจะถึงจุดสูงสุดอาจทำให้บริษัทต่าง ๆ ไม่ลงทุนในการขุดเจาะบ่อน้ำมันแห่งใหม่ ซึ่งหากยังมีความต้องการเชื้อเพลิงฟอสซิลยังคงมีมาก อาจทำให้เกิดวุ่นวายทางพลังงานจากการขาดแคลนน้ำมัน
ไรท์ได้ล็อบบี้ให้ IEA นำการตั้งสมมติฐานจากปัจจุบัน ซึ่งเป็นตั้งสมมติฐานว่าประเทศต่าง ๆ จะไม่นำนโยบายใหม่ ๆ มาใช้ เช่น มาตรฐานการประหยัดเชื้อเพลิงที่เข้มงวดยิ่งขึ้นสำหรับรถยนต์ นอกเหนือจากนโยบายที่ได้กำหนดไว้แล้ว กลับมาใช้ด้วย หลังจากยกเลิกไปในปี 2020
บางครั้งการคาดการณ์ของสำนักงานพลังงานระหว่างประเทศก็ไม่ตรงกับความจริง ก่อนหน้านี้เคยประเมินการเติบโตของพลังงานแสงอาทิตย์ต่ำกว่าความเป็นจริงหลายต่อหลายครั้ง อีกทั้งเคยคาดว่าความต้องการถ่านหินของจีนอาจถึงจุดสูงสุดในปี 2016 แต่ในปีถัด ๆ มาจีนยังคงมีการใช้ถ่านหินพุ่งสูงขึ้นสู่ระดับสูงสุดใหม่
ผู้เขียนรายงานประจำปีนี้กล่าวว่า พวกเขาจะนำสมมติฐานจากปัจจุบันกลับมาใช้ด้วย เนื่องจากเป็นการเหมาะสมที่จะพิจารณาความเป็นไปได้หลายประการสำหรับอนาคตที่อาจเกิดขึ้น ไม่ได้เป็นเพราะแรงกดดันจากสหรัฐ
“ทุกปี เราตรวจสอบสถานการณ์ต่าง ๆ ที่ระบุไว้ในรายงานอย่างละเอียดถี่ถ้วน เพื่อให้แน่ใจว่าสถานการณ์เหล่านั้นยังคงมีประโยชน์และเกี่ยวข้องกับผู้กำหนดนโยบายและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียอื่น ๆ มากที่สุด และในปีนี้ก็เช่นกัน”
ในทุกสถานการณ์ IEA คาดการณ์ว่าพลังงานหมุนเวียนจะเติบโตอย่างแข็งแกร่ง และพลังงานถ่านหินจะลดลงในอีกทศวรรษหน้า เพราะในขณะนี้ ประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่หลายแห่ง เช่น บราซิลและอินเดีย หันมาใช้พลังงานลมและพลังงานแสงอาทิตย์ เนื่องจากอุปกรณ์จากจีนมีราคาถูก ขณะที่รถยนต์ไฟฟ้ากำลังแพร่หลายเนปาลและเอธิโอเปีย
“ขณะนี้กำลังเกิดการปฏิวัติด้านพลังงาน คนหันมาใช้พลังงานหมุนเวียนและการใช้ไฟฟ้า ซึ่งเป็นผลจากนโยบายและกฎหมายที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี” เดฟ โจนส์ หัวหน้านักวิเคราะห์ของ Ember องค์กรวิจัยพลังงานในลอนดอน กล่าว
อย่างไรก็ตาม ภายใต้สถานการณ์นโยบายปัจจุบัน หน่วยงานคาดการณ์ว่าประเทศต่าง ๆ จะประสบปัญหาในการนำพลังงานจากพลังงานลมและพลังงานแสงอาทิตย์มาใช้ในโครงข่ายไฟฟ้า เพราะพลังงานเหล่านี้มีความผันผวน ทำให้ต้องใช้ก๊าซและถ่านหินมากขึ้น
รายงานยังระบุด้วยว่า ความต้องการไฟฟ้าทั่วโลกกำลังเพิ่มขึ้นเร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้ ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากบริษัทเทคโนโลยีลงทุนตั้งดาต้าเซ็นเตอร์เพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ เพื่อรองรับการทำงานของเอไอ แต่ขณะเดียวกันก็มีความต้องการใช้ไฟฟ้าของภาคประชาชนในประเทศกำลังพัฒนา ที่ต้องการใช้เครื่องทำความร้อน และเครื่องปรับอากาศ ซึ่งเป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
ในขณะนี้ หลายประเทศกำลังเผชิญกับภัยคุกคามใหม่ ๆ ต่อความมั่นคงทางพลังงาน ตัวอย่างเช่น จีนครองส่วนแบ่งตลาดในการสกัดแร่ธาตุสำคัญหลายชนิดที่ใช้ในแบตเตอรี่ และความขัดแย้งหรือความต้องการที่ผันผวนอย่างไม่คาดคิดอาจทำให้ราคาของน้ำมันและก๊าซธรรมชาติพุ่งสูงขึ้นอย่างมาก
“เมื่อพิจารณาประวัติศาสตร์ของโลกพลังงานในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา ไม่เคยมีช่วงเวลาใดที่ความตึงเครียดด้านความมั่นคงทางพลังงานจะส่งผลกระทบต่อเชื้อเพลิงและเทคโนโลยีพร้อม ๆ กันมากมายขนาดนี้” ฟาติห์ บิโรล ผู้อำนวยการบริหารของสำนักงานพลังงานระหว่างประเทศกล่าว
สองปีก่อน ในการประชุมสุดยอดด้านสภาพภูมิอากาศ COP 28 ที่เมืองดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ผู้นำโลกแทบทุกคนเห็นพ้องต้องกันว่าประเทศต่าง ๆ ควรเริ่ม “เปลี่ยนผ่าน” จากเชื้อเพลิงฟอสซิลเป็นพลังงานสะอาดเพื่อลดความเสี่ยงของภาวะโลกร้อน แต่ในการประชุมสุดยอดปีนี้ที่เมืองเบเลง ประเทศบราซิล ประเทศต่าง ๆ ยังคงพยายามทำความเข้าใจว่าคำสัญญานั้นหมายถึงอะไร และควรดำเนินการอย่างรวดเร็วเพียงใด
“ข้อตกลงดังกล่าวคือการเปลี่ยนผ่านอย่างยุติธรรม เท่าเทียม และเป็นระเบียบ” อานา โทนี ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของบราซิลในการประชุมสุดยอดด้านสภาพภูมิอากาศ หรือที่รู้จักกันในชื่อ COP30 ประจำปีนี้ กล่าว “แล้วอะไรคือความยุติธรรม เท่าเทียม และเป็นระเบียบเรียบร้อย?” เธอตั้งข้อสังเกตว่า บางประเทศยังคงพึ่งพารายได้จากการผลิตเชื้อเพลิงฟอสซิลอย่างมาก นี่จึงเป็นประเด็นที่ซับซ้อนมากอยู่บ้าง
รายงานของ IEA ยังระบุด้วยว่า ประเทศต่าง ๆ จำเป็นต้องให้ทุกคนสามารถเข้าถึงบริการพลังงานขั้นพื้นฐานได้ ปัจจุบันมีประชากรประมาณ 730 ล้านคนที่ยังไม่สามารถเข้าถึงไฟฟ้าได้ และอีก 2,000 ล้านคนต้องพึ่งพาวิธีการปรุงอาหารที่ก่อมลพิษและไม่ดีต่อสุขภาพ เช่น การเผาไม้หรือมูลสัตว์ภายในบ้าน ในการแก้ปัญหานี้จะต้องใช้เงินลงทุนด้านโครงข่ายไฟฟ้าและเชื้อเพลิงปรุงอาหารที่สะอาดกว่าประมาณ 300,000 ล้านดอลลาร์ภายในปี 2035
ที่มา: CNN, The New York Times, The Wall Street Journal







